ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Yes!! R&B Karaoke ของ ตัน ภาสกรนที





 
 เน้นให้ความสำคัญเรื่องของบรรยากาศ เทคโนโลยี อาหาร และเครื่องดื่ม 
การนำไอเดียการตกแต่งผสมผสานให้เข้ากับสถาปัตยกรรมของอาคารดั้งเดิม 
ไอเดียที่ใช้ตกแต่งทุกห้องมาจากการรีไซเคิล การนำวัสดุเหลือใช้มาประยุกต์ให้เข้ากับไอเดีย
การออกแบบ โดยมีบรรดาพี่น้องผองเพื่อนมากมายหลายอาชีพมาช่วยกันออกแบบตกแต่งแต่ละห้อง
อาทิ ห้องวินมอเตอร์ไซค์ โดยคุณตันเก็ทไอเดียมาจากมอเตอร์ไซค์คู่ยากเมื่อ 20
คุณปลา-อัจฉรา บุรารักษ์ ตกแต่งห้องอัจฉราบาร์เบอร์ให้เป็นร้านตัดผมสุดคลาสสิก
น้องกิ๊ฟ-ภาสกรนที ตกแต่งห้อง ศอช. และคุณโน้ส-อุดม แต้พานิช 
มาตกแต่ง Prison Break (ห้องขัง) เพิ่มอารมณ์ความแตกต่างให้ได้มันส์กันอย่างต่อเนื่อง

          











ด้วยไอเดียการตกแต่งและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่นำมาใช้ ทำให้ Yes!! 
มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร มีห้องคาราโอเกะให้บริการถึง 30 รูปแบบ 
แบ่งเป็น 3 ขนาด ไซซ์ S รับรองได้ 6 คน ไซซ์ M รับรองลูกค้าได้ 10 คน 
ไวด์ L รับรองลูกค้าได้ 14 คน และบิ๊กไซซ์ใหญ่สุด XL รับรองลูกค้าได้ถึง 20 คน 
ในอัตราค่าบริการแบบบุฟเฟ่ต์ราคาท่านละ 399 บาท ในเวลา 17.30-21.00 น.
หลังจาก 21.00 -01.00 น. อัตราค่าห้องคิดเป็นรายชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 400-1,200 บาท 
(ขึ้นอยู่กับขนาดห้อง) ส่วนอาหาร เครื่องดื่ม บริการตามเมนู
ใครที่หลงใหลในการร้องเพลง
ก็อย่าลืมหาเวลาว่างชวนเพื่อน ๆ ไปดวลไมค์ดวลมุขกันได้ที่
Yes!! R&B Karaoke ณ โครงการ อารีน่า 10  
ทองหล่อ ซอย 10 ตั้งแต่เวลา 17.30-01.00 น.
ร้านเปิดทุกวันจันทร์-อาทิตย์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 0-2675-4224
 




 


SUKOSOL’S FAMILY นักธุรกิจอารมณ์ศิลปิน

SUKOSOL’S FAMILY นักธุรกิจอารมณ์ศิลปิน
Bookmark and Share
‘Unconditional Love’ คงเป็นคำจำกัดความที่ดูลงตัวที่สุดสำหรับสมาชิกของครอบครัว ‘สุโกศล’ เจ้าของโรงแรมในเครือสยามซิตี้ ผู้หญิงแกร่งอย่างคุณ กมลา สุโกศล ที่ดูเหมือนเป็นหัวเรือใหญ่ในการนำทีมลูกๆ ทุกคนบริหารธุรกิจของครอบครัว

  
          หากจะถามถึงความสามารถเฉพาะตัวของสมาชิกในครอบครัวนี้  การเติบโตของโรงแรมในเครือสยามซิตี้ น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ว่าแต่ละคนมีความสามารถขนาดไหน เริ่มต้นที่คุณ กมลา สุโกศล คุณแม่คนเก่ง ความสามารถและความเข็มแข็งบวกกับประสบการณ์ที่คว่ำหวอดในวงการธุรกิจมาหลาย สิบปีทำให้เธอเป็นเสาหลักที่จะพาลูกๆ ทุกคนสามารดูแลธุรกิจการในครอบครัวได้          ความแตกต่างของแต่ละคน ไม่ได้สร้างความแตกแยกให้กับการบริหารงานแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามความสามารถเหล่านั้นกลับถูกนำมาใช้อย่างถูกที่ถูกทางและถูก เวลา  คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี ลูกสาวคนโตดูแลในเรื่องของการติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานอื่น การประชาสัมพันธ์สร้างชื่อเสียงให้กับโรงแรม คุณสุกี้  กมล สุโกศล แคลปป์ ลูกชายคนรอง อดีตผู้บริหารค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ เบอเกอรี่มิวสิค ดูแลในเรื่องของไอเดียต่างๆ ที่มักจะมีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอสำหรับธุรกิจ ลูกชายคนอีกคน คุณน้อย กฤษดา สุโกศล แคปป์  หรือ ‘น้อย วงพรู’ ที่เรารู้จักกันดีในมาดของนักร้องหนุ่มอารมณ์ Artist ในฐานะผู้บริหารก็สามารถทำได้ดีไม่แพ้ไปกว่าการร้องเพลง และน้องนุชสุดท้องของครอบครัวนี้ ก็คือ คุณดารณี สุโกศล แคลปป์ ซึ่งเธอจะทำหน้าที่ในการดูแลเรื่องงบประมาณทั้งหมดของบริษัท การวางแผนการตลาดต่างๆ ความสามารถของเธอไม่ได้เล็กไปตามความเป็นลูกคนเล็กของครอบครัวเลยสักนิด
          ความ แตกต่างที่สร้างความเติบโตให้กับธุรกิจของครอบครัว สุขโกศล ของเป็นข้อการันตีได้แล้วว่า ความแตกต่างไม่ได้สร้างความแปลกแยกได้อย่างเดียว แต่มันยังสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากมายให้เกิดขึ้นในทางที่ดีหากเรานำความแตกต่างนั้นมาใช้ให้เหมาะสม เหมือนกับครอบครัวนี้ ที่ธุรกิจของเขาเติบโตขึ้นมาได้เพราะความแตกต่างทั้งหมดของผู้บริหาร

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เฉาก๊วย MIX ME อร่อยคลายร้อน อิ่มท้องเพื่อสุขภาพ


Bookmark and Share
จากสภาพอากาศในปัจจุบันที่เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน แต่ไม่มีความหนาวเช่นทุกวันนี้ หลายคนดับร้อนด้วยวิธีต่าง ๆ นานา ตลอดจนสรรหาเครื่องดื่มที่ช่วยคลายร้อนมาดับกระหายหลากหลายเมนู และหนึ่งในนั้นขอแนะนำ “เฉาก๊วย MIX ME” เมนูอิ่มท้องและช่วยดับร้อนได้เป็นอย

  

คุณมาสินี พฤฒิรังสี
          เฉาก๊วย MIX ME เมนูสร้างสรรค์โดย “คุณมาสินี  พฤฒิรังสี” หรือ “พี่นี” ที่เกิดปิ๊งไอเดียเมนูเด่นที่ผสมผสานระหว่างเฉาก๊วยกับเครื่องดื่มชาและกาแฟ ได้อย่างลงตัวทั้งรสชาติและแพคเกจจิ้งที่ใส่ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมูลค่า ให้เฉาก๊วย MIX ME มีความน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น          “สมัยก่อนทำงานประจำ และเปิดร้านอาหารอยู่แถวสุขุมวิท ทำร้านอาหารได้ประมาณ 4 ปีพอดีมีปัญหาเรื่องสถานที่เลยหันทำซาลาเปาขายส่งอยู่กับบ้านแทน ทำเป็นซาลาเปาโฮมเมด  ตอนหลังมาได้ร้านที่จตุจักรก็เลยเอาซาลาเปามาขาย  ตอนนั้นขายดีมากแต่ความที่อากาศบ้านเรามันร้อนมาก  ซึ่งซาลาเปาเป็นของกินที่ไม่เข้ากับสภาพอากาศสักเท่าไหร่ ก็เลยเปลี่ยนมาขายอะไรที่เข้ากับสภาพอากาศดีกว่า 
          แต่เดิมพี่ทำน้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรขายส่งอยู่แล้ว ก็เลยมาเน้นเรื่องเครื่องดื่มที่คลายร้อน เลยมานึกถึงเฉาก๊วย ซึ่งที่จตุจักรมีร้านขายเฉาก๊วยเยอะมาก แต่เราต้องคิดให้แตกต่างจากคนอื่น ที่สำคัญคือ ต้องแแปลกใหม่ คนทานแล้วอิ่มท้อง เพราะคนที่มาเดินจตุจักรส่วนใหญ่จะไม่ค่อยกินอะไรมากมาย แต่จะดื่มอะไรที่คลายร้อนมากกว่า ก็เลยมาสรุปเป็น “เฉาก๊วย MIX ME””


          เฉาก๊วย MIX ME โดดเด่นที่เฉาก๊วยโบราณมีความนิ่มและนุ่ม เพราะมีส่วนผสมของหล่อฮังก้วย ซึ่ง ช่วยดับร้อนและแก้ร้อนในได้เป็นอย่างดี  พร้อมกับเติมสีสันความอร่อยด้วยเครื่องดื่มหลากชนิด อาทิ น้ำเต้าหู้เพื่อสุขภาพ  ชาเขียว ชานม กาแฟ  น้ำเชื่อมและน้ำตาลทรายแดง ผสมกลมกลืนจนกลายมาเป็น “เฉาก๊วย MIX ME”
           สนนราคาขายสำหรับเฉาก๊วยใส่ชาเขียวราคา 40 บาท หากเป็นชานม กาแฟ น้ำเต้าหู้ราคาแก้วละ 35 บาท   ส่วนเฉาก๊วยใส่น้ำเชื่อมหรือน้ำตาลทรายแดงแก้วละ  25 บาท เรียกว่าอร่อยได้สุขภาพเพราะไม่ใส่สารกันเสีย ทั้งยังสะอาดและอิ่มท้อง
          เฉาก๊วย MIX ME ยังเพิ่มความเก๋ไก๋ดึงดูดความสนใจจากสายตาของลูกค้าด้วย packaging ที่ทันสมัยใส่ไอเดียสร้างสรรค์ จากหนึ่งสมองและสองมือของพี่นี กลายเป็นงานแฮนด์เมดที่น่าสนใจ สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเฉาก๊วย MIX ME ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าโดนใจคนทุกวัยทั้งวัยรุ่น คนหนุ่มคนสาว หรือคนทำงาน


          “ชาวต่างชาติเห็นแพคเกจแล้วชมกันเยอะมาก ว่า good idea  ซึ่งแพคเกจนี้พี่ทำเองด้วยมือทุกขั้นตอน นอกจากจะดึงดูดสายตาลูกค้าแล้วยังดูสะอาด ด้วยความที่เราขายเครื่องดื่มพี่จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก  พี่จะทำทุกอย่างไปจากบ้าน จะไม่ใช้น้ำก๊อกหรือน้ำประปา แต่จะใช้น้ำกรอง คือเน้นเรื่องความสะอาดมาก
          ชาของเราจะหอมมาก ส่วนน้ำเต้าหู้จะโรยด้วยน้ำตาลทรายแดงเพื่อเพิ่มความหอม พี่จะไม่ใช้น้ำตาลทรายขาวเพราะไม่ดีต่อสุขภาพ จริง ๆ เครื่องดื่มร้านจะขายดีแทบทุกตัว  ความชอบอาจจะแตกต่างกันที่วัย เพราะถ้าเป็นวัยรุ่นก็จะไม่ค่อยทานกาแฟ แต่จะนิยมทานชา พวกชาเขียว ชานม แต่ถ้าเป็นกลุ่มคนรักสุขภาพก็จะเน้นไปที่น้ำเต้าหู้  น้ำตาลทรายแดง ความชอบของลูกค้าจะหลากหลายมาก”

          สุดท้ายนี้พี่นีฝากข้อคิดในการทำธุรกิจไว้ว่า “ถ้าคิดจะทำธุรกิจสิ่งแรกคือ ต้องเลือกทำในสิ่งที่เราถนัดหรือมีความชำนาญก่อน และเลือกทำในสิ่งที่เข้ากับสภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ด้วย ที่สำคัญคือ ต้องไม่ย่อท้อกับอุปสรรค  หากทำแล้วเกิดความล้มเหลวก็ต้องลองทำใหม่ อย่ายอมแพ้  ล้มแล้วต้องลุกขึ้นสู้ใหม่  ไม่ใช่ท้อถอย”
          หากใครสนใจอยากไปลองชิมความอร่อยของ “เฉาก๊วย MIX ME” ที่ช่วยดับกระหายและคลายร้อนทั้งยังอิ่มท้องและดีต่อสุขภาพ  สามารถไปอุดหนุนกันได้ที่จตุจักรโครงการ 3 ซอย 43 เปิดร้านให้ชิมกันเป็นประจำทุกวันเสาร์และอาทิตย์   

อาหารเหนือรสต้นตำหรับจากครัวแม่


Bookmark and Share
ใบหน้าหวานๆ น้ำเสียงใสๆ เชิญชวนให้ผู้ที่ผ่านไปมาในงานออกบูธกับทางช่อง 3 ได้ลิ้มชิมรสอาหารเหนือรสต้นตำหรับจากครัว ‘บ้านน้องอร’ ดังไม่ขาดระยะ เจ้าของร้านคนสวย คุณอรอนงค์ ปัญญาวงศ์ ทำหน้าที่แนะนำเมนูต่างๆ อย่างขยันขันแข็ง สองเท้าก้าวทันความคิดไม่

  

อรอนงค์
          คุณอรเล่าให้ฟังถึงการเริ่มต้นทำธุรกิจอาหารเหนือ เพราะตัวเองเป็นคนเหนือ และอยากให้คนอื่นได้ทานอาหารเหนือรสชาติเหนือจริงๆ จึงกลับมาคุยกับที่บ้านจะทำร้านอาหารเหนือ ทุกคนก็เห็นด้วยเพราะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับครอบครัว กอรปกับคุณอรมีพี่น้องหลายคนแต่ละคนก็มีความรู้ความสามารถในการทำอาหารเหนือ เป็นทุน จึงทำให้มีขุนพลในการดูแลและบริหารธุรกิจนี้ได้อย่างสบาย
          เมนูอาหารที่คุณอรนำมาเป็นเมนูเด่นของร้านได้แก่ ขนมจีนน้ำเงี้ยว, ข้าวซอยน่องไก่ ,แกงฮังเล โดยมีเมนูเด็ดคือ “ไส้อั่ว” จะเน้นเรื่องสมุนไพรซึ่งจะทำให้ได้ไส้อั่วที่ไม่มันมาก ใช้การย่างแบบเตาถ่าน ทานไปจะได้กลิ่นกรุ่นสมุนไพร เครื่องเทศต่างๆ คุณอรเดินทางไปเลือกสรรจากเชียงใหม่ เพราะต้องการความเป็นต้นตำหรับ ซึ่งคุณอรบอกว่าการเลือกสรรวัตถุดิบในแหล่งกำเนิดจะทำให้คงรสชาติของอาหาร ให้ได้เหมือนต้นตำหรับมากที่สุด


          อย่างไส้อั่วสมุนไพร จะเน้นใช้สมุนไพรไทยที่มีทั้งสรรพคุณตัวยามากมาย ใครที่ชอบทานผักก็จะถูกใจเมนูนี้มาก แล้วที่สำคัญไส้อั่วของเราไม่มีหมู ทำเป็นขนาดพอคำให้ทานได้สะดวก สาวๆคนไหนที่ต้องการควบคุมอาหารก็สามารถทานได้ไม่ต้องห่วง
          ในตอนท้ายคุณอรฝากถึงผู้ที่ต้องการจะทานอาหารเหนือ จากครัวบ้านน้องอร สามารถโทรสั่งได้ โดยมีจำนวนในการสั่งขั้นต่ำ 50 ชุด จะมีบริการส่งฟรีถึงบ้าน หรืออีกทางหนึ่งก็ตามงานออกบูธ หลักๆ ก็มีที่ช่อง 3เค้าให้ดาราไปออกทุกต้นเดือนของวันพฤหัส-ศุกร์ เพราะเธอบอกว่าไม่อยากมีหน้าร้าน เคยมีแล้วไม่ประสบความสำเร็จจากการทำร้าน ต้องบริหารคนด้วย และบางครั้งประเภทของอาหารที่เรามีอยู่มันก็ไม่มากพอที่จะให้ลุกค้าเลือกได้ ตามใจ เพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่าเอาเท่าที่เราไหว เราทำได้ และที่บ้านช่วยกันดูแลได้ไม่ใหญ่โตแต่สามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้ออาหารได้ที่เบอร์ 085-555-1083   

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

Sugar Lust Café & Bistro ร้าน บ้านเพื่อน คิว วงฟลัว


Bookmark and Share
บ้านสีขาวหลังเล็กสถาปัตยกรรมในยุค 80’s อิงแอบอย่างถ่อมตัวในซอยสุขุมวิท 26 ถูกปรับแต่งให้กลายเป็นร้านอาหารขนาดน่ารัก พร้อมให้ชื่อเรียกขานว่า “Sugar Lust Café & Bistro” ร้านอาหารชื่อหวานที่คุณคิวและเพื่อน ๆ รวมตัวกันก่อร่างสร้างมาสำ

  
          ความเรียบง่ายของร้านซ่อนดีเทลการตกแต่งและเสน่ห์เชิญชวนให้เราเข้าไปสัมผัส อย่างน่าหลงใหล พื้นไม้ปาเกต์ขัดเงานำพาเราไปรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร้าน ทั้งหมดตกแต่งด้วยความเรียบง่ายหลากหลายอารมณ์ผสมผสานกันอย่างลงตัว เฟอร์นิเจอสไตล์สแกนดิเนเวียนตัวเอกของร้านช่วยส่งให้อาคารเก่ายุคนั้นดู อบอุ่นขึ้นมา อารมณ์ของร้านจึงดูเหมือนบ้านมากกว่าร้านอาหาร ด้วยคอนเซ็ปต์ที่วางไว้คือ อยากให้ทุกคนที่มาทานข้าวที่ร้านรู้สึกเหมือนมานั่งทานข้าวในบ้านเพื่อน
          ในช่วงเวลากลางวันบรรยากาศของร้านจะเป็นร้านกาแฟแบบชิล ๆ มีกาแฟหอมกรุ่นหลากหลายรสชาติให้ได้ลิ้มลอง อาทิ Sugar Lust coffee, Rasberry Honey, smoothy เสิร์ฟพร้อมกับขนมเค้กรสนุ่ม Banoffee Pie, Carrot Cake ส่วนมื้อเย็นบรรยากาศของร้านอาหารก็จะเริ่มแผ่ปกคลุมคุณและเพื่อน ๆ สามารถมานั่งชิล ๆ ละเลียดบรรยากาศไปได้ถึงเที่ยงคืนพร้อมเมนูเครื่องดื่มและอาหารที่คุณเลือก สรรได้ตามต้องการ เมนูแนะนำของร้านได้แก่ ลาบหมูทอด รสแซบความนุ่มของหมูบวกกับการปรุงรสด้วยสูตรของทางร้านทำให้ได้รสชาติความ อร่อยแตกต่างจากที่อื่น พาสต้าคาโบนาร่า เส้นพาสต้านุ่ม ๆ ฉ่ำด้วยชีสหอมกรุ่นกับเบคอนนุ่มลิ้น อีกเมนูคือ อกเป็ดเกยตื้น เนื้อเป็ดนุ่ม ๆ ราดด้วยซอสที่พ่อครัวพิถีพิถันในการปรุงรสให้เข้ากับเนื้อเป็ด เมนูนี้เป็นเมนูใหม่ที่ทางร้านเต็มใจนำเสนอ


          ร้านเปิดให้บริการตั้งแต่ 11 โมงเช้า เรื่อยไปจนถึงเที่ยงคืน ใครที่อยากไปนั่งทำงาน อ่านหนังสือ ทานกาแฟพร้อมขนมเค้กแสนอร่อยในสไตล์แบบ Chic Chic เล่น Internet WiFi ก็สามารถไปนั่งชิลเอาต์กันได้ทั้งวัน หรือจะเปลี่ยนบรรยากาศเป็นแฮงก์เอาต์กับพ้องเพื่อนก็สามารถทำได้ในร้านนี้ โทร.สอบถามเส้นทางหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-4011-4115 

Caffe D'Oro กาแฟไทย มาตรฐานสากล รับม.3-ป.ตรี ทุกสาขา

เช้า แล้วถ้าได้กาแฟสักถ้วยก็คงจะดี…นี่คือหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของผู้ที่หลง ไหลกับรสและกลิ่นของกาแฟ ณ ปัจจุบันกาแฟเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยสังเกตได้จากร้านกาแฟซึ่งผุดขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด และแน่นอนว่าเรื่องรสชาติแต่ละร้านก็จะต้องหาจุดยืนของตัวเองเพื่อดึ
  

          วันนี้ เรามีร้านกาแฟไทยแต่มาตรฐานสากล มานำเสนอ Caffe D Oro (ดิโอโร่)ภายใต้การบริหารงานของบริษัท โกลเด้นครีม จำกัด ซึ่งคุณนิรมล ศรีสุรินทร์ Executive Director ให้ความกระจ่างถึง Caffe D Oro ว่า           Caffe D Oro เป็นร้านกาแฟ ซึ่งเกิดมาประมาณ 9 ปีแล้วค่ะ มีสาขาอยู่ประมาณ 60 สาขา  ทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล  คอปเซ็ปของร้านกาแฟเรา จะเป็นสไตล์อิตาเลียน และคอนเซ็ปอีกอย่าง จะเป็นลักษณะ Family Coffee House คือเราไม่ได้เสิร์ฟแต่กาแฟอย่างเดียว เราจะเสิร์ฟตั้งแต่น้ำผลไม้  เค้ก สำหรับทุกคนในครอบครัว และมีเมนูสำหรับเด็กด้วย อาทิ โกโก้เย็น โกโก้ร้อน สำหรับคุณผู้หญิงที่ไม่ชอบดื่มกาแฟ เราก็มีสมูทตี้ไว้บริการ
          เหตุผลที่เราเลือกธุรกิจกาแฟนั้น จริง ๆ แล้วดั้งเดิมเราก็คลุกคลีกับธุรกิจกาแฟมานานมาก ในลักษณะทำธุรกิจกาแฟส่งออก และมีอีกหนึ่งบริษัทที่ดูแลเรื่องกาแฟคั่ว ซึ่งเราก็ทำธุรกิจกาแฟแบบครบวงจรมาตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจจนมาถึงกาแฟใน แก้วเดียว
          บริษัทเริ่มต้นมาจากการดำเนินธุรกิจกาแฟแบบครบวงจร โดยใส่ใจตั้งแต่การคัดสรรเมล็ดกาแฟคุณภาพจากแหล่งผลิต ที่ทางบริษัท เป็นผู้ส่งเสริมและวางรากฐานการปลูกกาแฟให้กับชาวเขา อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟที่ได้คุณภาพและส่งเข้ามายังโรงงาน คั่วเมล็ดกาแฟของบริษัทที่ทันสมัย เป็นผลผลิตที่ได้มาตราฐานเทียบ เท่ากับต่างประเทศ
          โดยส่งผ่านบรรยากาศที่อบอุ่นและบริการที่เป็นกันเอง กับขั้นตอนการชงที่พิถึพิถันอย่างมืออาชีพในร้านดิโอโร่ เพื่อให้ คนไทยได้ลิ้มรสถึงรสชาติความอร่อย กลิ่นหอมของกาแฟคุณภาพดี ฝีมือคนไทย ในราคาที่เหมาะสม
          รวมทั้งเพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ ทางร้านยังเพิ่มรูปแบบการบริการ ทั้งการจัดคอฟฟี่เบรก และบริการรับทำเค้กปอนด์ สูตรอร่อยเพื่อโอกาสพิเศษต่างๆ แถมยังมีสินค้าคุณภาพอื่น ๆ ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ เช่น กาแฟคั่วบด ดิโอโร่ และ ชา สมุนไพร (Herb Tea)
          ด้วยการออกแบบร้าน ดิโอโร่ ที่มี เอกลักษณ์ เฉพาะตัวกับ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา และดูอบอุ่น ดิโอโรจึงกลาย เป็นสถานที่ที่เติมเต็มความสุขในการดื่มกาแฟ ทานของว่าง อ่าน หนังสือหรือจะใช้เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ในหมู่เพื่อนฝูง คู่รัก และ ครอบครัว ที่ตอบสนองทุกความต้องการได้อย่างลงตัวที่สุด
          จุดประสงค์แรกเริ่มเพื่อที่จะรองรับนักเดินทาง เพราะก่อนหน้านี้เราไปต่างประเทศ จะเห็นได้ว่าทุกจุดเขาจะมีร้านกาแฟ ซึ่งตอนนั้นบ้านเรายังล้าสมัยอยู่ จึงเกิดความคิดว่าเราน่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ประกอบกับมีโอกาสคุยกับปั้มน้ำมัน Shell ซึ่งทาง Shell ได้ให้การต้อนรับเราดีมาก จึงกลายเป็นมี Shell ที่ไหนมี Caffe D Oro ที่นั่น

           ในสภาวะเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน เชื่อได้ว่าทุกธุรกิจจะต้องได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย สำหรับ Caffe D Oro ก็มีผลกระทบด้วยเช่นเดียวกัน คุณนิรมล บอกว่า
          ผลกระทบที่ Caffe  D Oro เจอนั้นในแง่ของยอดขาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องสู้ ในแง่ของการทำโปรโมชั่น การทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายไปในตัว
          นอกจากนี้การขยายธุรกิจของ Caffe D Oro ยังเป็นไปในรูปแบบของแฟรนไชส์ ซึ่งคุณนิรมล เปิดเผยว่า หลังจากที่  Caffe  D Oro ดำเนินธุรกิจมาได้ระยะหนึ่ง และชื่อเป็นที่รู้จัก มีหลายคนเข้ามาสอบถามและอยากได้สูตรสำเร็จเพื่อไปเปิดเป็นธุรกิจของตัวเอง บริหารงานเอง โดยไม่อยากที่จะเริ่มต้นเอง ทางเราก็ยินดีที่จะให้บริการในรูปแบบของแฟรนไชส์ ช่วยเขา Set Up เพื่อดำเนินธุรกิจต่อไปได้
          เนื่องจากเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในช่วงนี้ เราไม่เร่งรีบสำหรับการขยายแฟรนไชส์ ซึ่งทุกคนก็ระมัดระวังกับการทำธุรกิจ อีกอย่างร้านกาแฟก็มีคู่แข่งขันเยอะ การที่เขาจะเปิดสาขาและมีกำไรได้นั้นจุดนี้สำคัญ การคาดคะเนอนาคตว่ามีใครดักหน้าดักหลังหรือไม่ก็สำคัญ ถ้าทำไปแล้วธุรกิจไม่มีกำไรเขาก็จะหดหู่ และเกิดอาการท้อกับการทำธุรกิจ
          แต่ถึงกระนั้นต่อให้ภาวะเศรษฐกิจเป็นเช่นไร การขยายธุรกิจก็ยังคงมีต่อเนื่อง Caffe  D Oro เองก็เช่นเดียวกันยังคงเปิดรับพนักงานเพิ่มเป็นจำนวนมาก
          ตอนนี้เราเปิดรับพนักงานเพิ่ม เพื่อทดแทนอัตราที่ว่างและเพื่อไปรองรับกับสาขาใหม่ที่เปิดด้วย ซึ่งตำแหน่งที่เปิดรับ จะมีพนักงานหน้าร้าน ผู้จัดการ อีกทั้งเรายังรับผู้จัดการฝึกหัดเพี่อฝึกให้เขาได้เป็นผู้จัดการ บริหารคนอื่นได้
          ตรงนี้เราจะรับเป็นรุ่น ๆ ละ 10-20 คน เพื่อเวลามาเรียนจะได้เรียนเป็นกรุ๊ป แน่นอนว่าพนักงานที่เปิดรับจะต้องมีคุณสมบัติรักการบริการ และต้องทำงานเป็นกะได้
          สุดท้ายคุณนิรมล ฝากกำลังใจถึงคนที่ว่างงานว่า  ภาวะเศรษฐกิจซบเซาแบบนี้ เป็นภาวะที่ทำให้ทุกคนต้องระมัดระวัง อยากให้ทุกคนระลึกว่าเมื่อมีมาก็ต้องมีไป อีกไม่นานต้องมีทางฟื้นขึ้น ทุกอย่างต้องผ่านมาได้ ปีนี้โลกมันหมุนเร็วนะค่ะ เปอร์เซนต์จะกลับได้ เร็วกว่าช่วงปี 40 อีก อยากขอให้พวกเราระมัดระวังและอดทน สู้ สู้ 
          ถ้าคุณรู้จักแล้วจะรัก Caffe D Oro

          ตำแหน่งที่เปิดรับ
         
1.ผู้จัดการร้านฝึกหัด          -วุฒิปริญญาตรี ทุกสาขา
         
2.พนักงานประจำร้านกาแฟ          -เพศหญิง อายุ 18-30 ปี
          -วุฒิ ม.3 ขึ้นไป
          -มีใจรักงานบริการ สามารถทำงานเป็นกะได้ ขยัน ซื่อสัตย์ มีไหวพริบ และมีความรับผิดชอบ
          -หากมีประสบการณ์ด้านการขายและบริการจะพิจารณาเป็นพิเศษ
          ผลตอบแทนและสวัสดิการ
          -เงินเดือน,Incentive ตามยอดขาย
          -กองทุนสะสมเลี้ยงชีพ
          -เบี้ยเลี้ยงกรณีไปช่วยงานสาขาอื่น
          -สวัสดิการทานกาแฟฟรี,
          -ฝึกอบรมตลอดทั้งปี
          -ค่ารักษาพยาบาลรายปีและสวัสดิการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
          -O.T.
          -ชุดยูนิฟอร์ม
          -โบนัสประจำปี,ปรับเงินเดือนประจำปี
          สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้ที่ บริษัท โกลเด้นครีม จำกัด เลขที่ 726-728 ซ.รัชดาภิเษก 7 ถ.รัชดาภิเษก(ท่าพระ-ตากสิน)แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กรุงเทพฯ 10600 โทรศัพท์ 0 2876 1213-5 โทรสาร 0 2876 1216 www.caffe-d-oro.com E-mail:suphitchaya-hr@vppcoffee.com หรือสมัครได้ที่ ร้าน Caffe D Oro ทุกสาขา



วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

การคัดคนเข้าทำงาน 4 บริษัทดัง กสิกรไทย ซีพี ปตท. และปูนซิเมนต์ไทย

  

          “ปูนซิเมนต์ไทย”   คว้ารางวัลความเป็นเลิศด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management Excellence)  1 ใน 8 ความเป็นเลิศที่มีการมอบรางวัลให้กับองค์กรดีเด่นของไทย หรือ “Thailand Corporate Excellence Awards 2009”  โดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)  ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
          นอกเหนือจากปูนซิเมนต์ไทยแล้ว มีองค์กรระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลความเป็น เลิศด้านการจัดการทรัพยากรบุคคลอีก 4 องค์กร ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
          ในวันประกาศผลและมอบรางวัล ทุกบริษัทยกเว้นโตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับคีย์ซัคเซส หรือหัวใจของความสำเร็จด้านการบริหารคนภายในองค์กร รวมไปถึงแนวทางการคัดเลือกบุคลากรเข้าร่วมงาน


          “ปูนซิเมนต์ไทย” เชื่อมั่นคุณค่าของคน          คุณกิติ มาดิลกโกวิท ผู้อำนวยการสำนักงานการบุคคลกลาง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG กล่าวว่าความโดดเด่นด้าน HR ของ SCG เชื่อมโยงกับอุดมการณ์การทำธุรกิจของบริษัท 4 ข้อ คือ ตั้งมั่นในความเป็นธรรม มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ เชื่อมั่นคุณค่าของคน และถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นสิ่งที่สะท้อนสู่ภายนอก และถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนอทุกครั้งที่คนในองค์กรมีโอกาสสื่อความกับบุคคลภาย นอก ในฐานะวิทยากร หรือบอกเล่าสู่ผู้คนที่มาดูงานที่ SCG
          “SCG ดำเนินธุรกิจย่างเข้าปีที่ 97 ใช้อุดมการณ์การทำธุรกิจนี้มาตลอด และงาน HR ปรากฏชัดเจนในข้อสาม คือ เชื่อมั่นคุณค่าของคน  SCG ปลูกฝังให้กับพนักงานทุกคนที่เข้ามา และเป็นเกณฑ์ใช้วัดการดูแลพนักงานและการเติบโตในองค์กร”
          คีย์ซัคเซสอยู่ตรงที่ SCG พยายามทุกอย่างที่จะทำหรือพิสูจน์ให้เห็นภาพว่าบริษัททำจริง เพื่อให้พนักงานเข้าใจและสัมผัสได้ว่าบริษัทเชื่อมั่นคุณค่าของคน โดย SCG มีหลักพื้นฐานการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ชัดเจน หรือ HR basic Principle เช่น จรรยาบรรณในการทำงาน การสรรหาพนักงาน การสร้างคนด้วยวิธีการที่เหมาะกับวัฒนธรรมของธุรกิจ  และการพัฒนาคนทุกระดับอย่างต่อเนื่อง 
          หัวใจข้อต่อมาคือการที่ Line Manager เข้ามามีส่วนร่วมในงาน HR โดยมีซีอีโอเป็น role model เรื่องการดูแลพนักงาน เห็นได้จากงาน HR  ที่ถูกรายงานตรงกับกรรมการผู้จัดการใหญ่
          “ทุกเรื่องที่ทำในscg ต้องเป็นเรื่องที่ทำได้จริง ถ้ามีปัญหา อุปสรรคก็ยกเลิก ไม่ต้องกลัวว่าเสียหน้า แต่วิธีป้องกันไม่ว่าจะออกหรือเปลี่ยนอะไรสักเรื่อง ต้องโรคโชว์ ถามความเห็น ว่าเรื่องนี้เอาไปทำแล้วไม่มีปัญหา”
          SCG มีพนักงานที่ทำงานการบุคคลอยู่ 500 คน ได้รับการยอมรับจาก management มีคณะทำงานด้านวิชาชีพ โดยมี president ของธุรกิจเป็นประธาน และมีการแลกเปลี่ยนความสำเร็จจาก practice ทำให้งาน HR ของ SCG เติบโตและเป็นที่ยอมรับ
          เมื่อการทำงานของ HR ยึด core value เป็นหลัก ไม่ว่าพนักงานเจเนอเรชั่นไหน ไม่ว่าคนไทย หรือต่างชาติ (ปัจจุบัน SCG มีพนักงานคนไทย  26,500 คน และชาวเวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ 3,500 คน) ทุกคนอยู่ภายใต้บรรยากาศการทำงานบนพื้นฐานเรื่องแรงงานสัมพันธ์ และเปรียบพนักงานเหมือนครอบครัวเดียวกัน 
          “กสิกรไทย” เข้าใจความต้องการพนักงาน          คุณสมเกียรติ ศิริชาติไชย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่าที่ผ่านมา HR สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เป็นพาร์ตเนอร์ชิพที่ดีกับธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วง 4-5 ปี HR มีส่วนผลักดันกับการปรับภาพลักษณ์องค์กรให้เป็นรีเทลแบงก์กิ้ง
          สิ่งที่ HR มองมีสองเรื่องใหญ่คือ ความต้องการขององค์กรและความต้องการของพนักงาน
          “อะไรเป็นความต้องการขององค์กรและอะไรเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญ” เป็นโจทย์ที่ HR ต้องรู้ทิศทางที่องค์กรกำลังก้าวเดิน รวมถึงความสามารถหลักที่องค์กรมี 4 ด้าน ได้แก่ ความสามารถในการเข้าใจลูกค้า ความสามารถในการออกผลิตภัณฑ์และการบริหารผลิตภัณฑ์และบริการ ความสามารถในการขายและการบริการ และความสามารถในการบริหารความเสี่ยง เพื่อกำหนดกลยุทธ์ต่อไปว่า position หรืองานแบบไหนที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถขององค์กร
          ด้านความต้องการของพนักงาน มีการทำโฟกัสกรุ๊ป ทำความเข้าใจพนักงาน รับฟังผลตอบรับตลอดเวลาว่าพนักงานต้องการอะไร
          หลังจากนั้นจึงนำความต้องการทั้งสองส่วนประเมินในแง่จำนวนพนักงาน ความสามารถ เพียงพอหรือไม่ และเมื่อมีพนักงานมากพอ เขามีแรงจูงใจพอไหม commitment พอไหม อะไรมีผลต่อแรงจูงใจ และถ้ามีคนเก่ง มีความตั้งใจระบบและวัฒนธรรม ช่วยเสริมให้คนทำงานร่วมกันได้ดีไหม มีประสิทธิภาพไหม มีความคล่องตัวแค่ไหน
          งานของ HR จึงถูกปรับให้สอดคล้องกับ action plan และธุรกิจแต่ละ segment โดยบทบาท HR เป็นเหมือนศูนย์กลางของทุกเรื่องในองค์กร สามารถพูดภาษาธุรกิจได้ เข้าใจความต้องการและพร้อมทำงานหนักเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ 
          “เครือซีพี” สร้างศรัทธาให้รักในงานที่ทำ          คุณเนาวรัตน์ บำรุงจิตต์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือเครือซีพี ยึดแนวทางเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ที่มองการสร้างคน ไม่เพียงสร้างประโยชน์ให้องค์กร แต่หมายถึงการสร้างประโยชน์ต่อแผ่นดิน ประชาชน และประเทศชาติ
          กลยุทธ์ HR ถูกกำหนดเพื่อตอบคำถามว่า “คนที่สร้างขึ้นมาจะสร้าง performance ให้องค์กรอย่างไร และจะรักษาคนมีฝีมือไว้อย่างไร” 
          สูตรสำเร็จของซีพีในการสร้าง talent ให้ความสำคัญกับคนภายในเป็นอันดับต้น ๆ เพราะเชื่อว่าความรักองค์กรจะส่งผลถึงการเพิ่ม productivity ได้
          “ปัจจัยความสำเร็จคือการให้โอกาสคนรุ่นใหม่แสดงความสามารถอย่างจริงจัง และการสร้างพนักงานไม่ใช่เพื่อทดแทน แต่สร้างเพื่อรอสร้างธุรกิจใหม่ที่ก้าวไปในต่างประเทศและเติบโตอย่างไม่หยุด ยั้ง อีกความสำเร็จคือการสร้างศรัทธาของคนให้มีความรักในงานที่ทำ ให้เขาได้ใช้โอกาสแสดงออก”
          คุณเนาวรัตน์ ยังได้ยกคำพูดของผู้นำที่กล่าวไว้เสมอว่า “เราพอใจได้แค่วันเดียว” หมายความว่าจะต้องมีการพัฒนาตลอดเวลา การมีผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของซีพี ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างคน นับเป็นแบบอย่างการทำงานของผู้นำที่มีความทุ่มเท และสามารถถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น
          “ธุรกิจของซีพีเกี่ยวเนื่องกับฟ้าดิน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราจะทำอย่างไรให้คนของเราเรียนรู้ที่จะเปลี่ยน   เรียนรู้ที่จะหาโอกาสในการพัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ คือความท้าทายของเรา เราต้องสร้างคนของเราให้ dynamic ข้ามอุปสรรคและฝ่าฟันอุปสรรคตลอดเวลา ใช้ความสามารถหลักผสมผสานกับความสามารถใหม่ ๆ ต้องมี flexiblie learning โดยผู้นำในระดับที่สูงขึ้นไป ต้องพร้อมที่จะรับฟัง”
          “ปตท.” สร้างคนเพื่อความสำเร็จองค์กร          คุณปิติพันธ์ เทพปฏิมากรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรัพยากรบุคคลและศักยภาพองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นเป้าหมายของ HR มองไปถึงผลลัพธ์สุดท้ายคือความสำเร็จขององค์กร ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีคนเก่ง ดี มีความสามารถ และมีความสุขในการทำงาน
          การทำงานของ HR จากเดิมที่เป็นไปตามขั้นตอน ระบบ แบบแผน ตอบสนองความต้องการของธุรกิจ วันนี้ต้องเข้าใจธุรกิจมากขึ้นว่าต้องการอะไร และ HR จะตอบสนองได้ดีแค่ไหน
          “Strategic Partner พูดง่าย ทำยาก ต้องใช้กระบวนการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง วิ่งเข้าหาลูกค้า เก็บความต้องการ รับ complain และพยายามหาโซลูชั่นให้ เป็นสิ่งที่ต้องทำร่วมกันระหว่างฝ่ายทรัพยากรบุคคลและฝ่ายบริหาร  ถ้าเข้าใจหลักการตรงกัน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่กำหนดได้”
          “ในอดีตต้องการคนลักษณะไหนก็จะถามที่ HR แต่วันนี้การเปิดพื้นที่ใหม่ในการทำธุรกิจ เจ้าของพื้นที่ต้องมีโจทย์ว่าต้องการคนแบบไหน  โจทย์นี้ HR ต้องมาหาคนต้นแบบ พัฒนาไปสู่จุดนั้นให้ได้ เป็นกลไกสำคัญที่ฝังไปใน organization ในหลายปีที่ผ่านมา และต้องทำต่อเนื่องให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ”
          คงไม่อาจปฏิเสธว่าความสำเร็จของงาน HR การสร้างความเข้าใจและเกิดผลบวกในภาพรวม ขึ้นอยู่กับความร่วมมือตั้งแต่ระดับสูงสุดไปจนถึงพนักงาน ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่สอดคล้องกับเวลา
          “ปตท.มีพนักงาน GenY 17%  และมีคนที่จบปริญญาโทครึ่งหนึ่ง ประเด็นต่างวัยคงมี จุดยึดคือ core value คนต่างกันอยู่สังคมเดียวกันได้ สิ่งสำคัญทำให้เขารักองค์กรได้ไหม ตอน orientation ทำให้เขาเห็นภาพ  ให้เขามีความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาในองค์กร เขาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างองค์กรได้อย่างไร”

แนวทางการเลือกคนเข้าทำงาน
คุณกิติ มาดิลกโกวิท ผู้อำนวยการสำนักงานการบุคคลกลาง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
          “SCG ไม่ได้มีวิธีการสลับซับซ้อน ขั้นแรกผ่านหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยให้สถาบันการศึกษากลั่นกรอง ได้ GPAตามที่ระบุ ขั้นสองการสัมภาษณ์เป็นหัวใจสำคัญของการคัดเลือกก โดยให้ Line Manager สัมาภาษณ์เอง เดี๋ยวนี้ตำราการเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์มีเยอะ พูดอะไรก็ได้ให้ประทับใจ แต่ในขั้นที่สามคือการทดลองงาน 180 วัน จะเป็นช่วงพิสูจน์ว่าจะผ่านหลักเกณฑ์ เหมาะกับเราจริงหรือไม่ การทดลองงานเป็นเครื่องมือสำคัญของ Line Manager ดูเรื่องการวางตัวและ core value ไปกับบริษัทได้ไหม มีความเหมาะสมกับงานที่ทำหรือไม่ ต้องตัดสินใจว่าจะรับไว้ต่อไปไหม เพราะจากนี้ไปคือการลงทุนแล้ว ต้องสอนงาน ต้องเติบโต และต้องดูแลเรื่องเงินเดือน”
คุณสมเกียรติ ศิริชาติไชย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
          “กสิกรไทยดู 4 ประเด็น can do มีความรู้พื้นฐานเหมาะกับงาน มีประสบการณ์ will do รับงานกดดันได้ไหม งานแบงก์กิ้งเดี๋ยวนี้เป็นทั้งเซลส์และเซอร์วิส อาจต้องมี check list วัดว่าเหมาะกับงานที่ทำหรือไม่ มี potential ไหม การรับพนักงานมาที่สาขา อนาคตจะโตถึงขั้นผู้จัดการได้ไหม มีการเทสต์รูปแบบต่าง ๆ การทำงานร่วมกับผู้อื่น มี learning ability  มีความสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยความรวดเร็ว สุดท้ายที่ดู fit to organization กสิกรไทยเน้น 3 ประเด็นหลัก เรื่องลูกค้า ต้องตอบโจทย์ ลูกค้าได้อะไร ไม่ว่าหลังบ้านหรือหน้าบ้าน เราจะวัดว่าเขามีทัศนคติแบบนั้นไหม ประเด็นต่อมาเขามีความเป็นทีมไหม คนเก่งเราอยากรับเข้ามา แต่อยากได้ทีมงานที่เก่ง และต้องมี achievement drive  ความกัดติด พร้อมทำงานให้ประสบความสำเร็จ”
คุณเนาวรัตน์ บำรุงจิตต์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด           “คงดูโหงวเฮ้งทุกคนไม่ได้ เพราะค่าใช้จ่ายแพง แต่ต้องหาเครื่องมือจับความฉลาดให้มากที่สุด  คนที่รับผิดชอบไม่สูง สร้างความยิ่งใหญ่ไม่ได้ คนที่ไม่เสียสละสร้างความยิ่งใหญ่ไม่ได้ คนที่ไม่พยายามอย่างไม่ลดละก็สร้างความยิ่งใหญ่ไม่ได้ คนที่ใจไม่กว้าง  ไม่ซื่อสัตย์ สร้างความยิ่งใหญ่ไม่ได้ เป็นพื้นฐานการคัดคนในกลุ่มซีพี” 

คุณปิติพันธ์ เทพปฏิมากรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรัพยากรบุคคลและศักยภาพองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
          “ปตท.มีพนักงาน 12,000 คน คนที่องค์กรต้องการมาจากทิศทางขององค์กรข้างหน้า เป็นองค์ประกอบการจัด profile พนักงาน คนใหม่ดูยากว่าดีหรือไม่ดี แต่ดูว่ามีสติปัญญาในเกณฑ์ที่พอใจ โดยใช้ทีม HR และทีมพื้นที่ดูความสามารถ  หลังจากที่ได้คนมีพื้นฐานดี ก็เข้าสู่กระบวนการสร้างและหล่อหลอม”

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Chnicke Nuggets By Pui นักเกตไก่ ธุรกิจใหม่ที่น่าจับตามอง

คุ้น เคยกันเป็นอย่างดีในบทบาทพิธีกรมากความสามารถจากรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงทาง ไทยทีวีสีช่อง 3 และผลงานทั้งภาพยนตร์ ละครและอีกหลายกิจกรรมที่ทำให้เรารู้จักเธอ และล่าสุดกับบทบาทใหม่ คือการนั่งแท่นผู้บริหารธุรกิจแฟรนไชน์นักเกตไก่ ภายใต้ชื่อ Chicken Nuggets By P

  
          คุณปุ้ยเล่าให้ฟังว่าการที่หันมาสนใจธุรกิจนักเกตไก่เป็นเพราะลูกชายชอบทาน นักเกตไก่  และทุกคนในบ้านก็ชอบทาน ประกอบกับคุณปุ้ยและสามีมีโอกาสได้รู้จักบริษัททำนักเกตไก่ส่งออก ได้ทดลองชิมก็เลยสนใจขอเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย
          นั่นคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจประกอบกับคุณปุ้ยทำงานในวงการบันเทิง ก็ทำให้ธุรกิจนักเกตไก่แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วขยายสาขาขึ้นมามากโดยใช้เวลา ไม่นาน ซึ่งไม่ใช่แค่ชื่อเสียงของคุณปุ้ยเท่านั้นที่ทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นมาได้ แต่รสชาติและกรรมวิธีทอดการปรุงรสต่างๆ ของนักเกตเอง ก็มีผลไม่น้อยเหมือนกัน เพราะถ้าของไม่ดีไม่อร่อย คนก็คงจะทานไม่กี่ครั้งแล้วก็คงไม่ทานอีก แต่การตอบรับของตลาดก็ยังดีและขยายสาขาไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็คงการันตีได้ถึงคุณภาพของนักเกตได้แล้วว่ามีคุณภาพแค่ไหน


          นอกจากนั้นกรรมวิธีการผลิตก็สำคัญ การคัดเลือกนักเกตคุณภาพดี สะอาด ปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทอดไม่ให้อมน้ำมันเพื่อสุขภาพผู้บริโภค เพิ่มความอร่อยด้วยซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศ นักเกตฉ่ำซอสบวกกับความนุ่มของเนื้อไก่ การทอดให้หอมกรุ่นกรอบนอกนุ่มในลักษณะพิเศษของนักเกตไก่ บายคุณปุ้ย ทำให้หลายคนติดใจในรสชาติและบอกต่อความอร่อยกันปากต่อปาก
           นอกจากนั้นคุณปุ้ยยังขยายโอกาสทางธุกิจให้กับคนที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือนักศึกษาที่ต้องการสร้างรายได้พอเศษก็สามารถ เข้าร่ามธุรกิจได้ ซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจได้ที่ (02) 946-1494 (086) 078-9333 ไม่สนใจธุรกิจแต่อยากอุดหนุนก็สามารถโทรสั่งได้ เพราะมีบริการ เดลิเวอร์รี่ส่งฟรีถึงบ้าน

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100823173809 

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิสุทธิ พรนิมิต ศิลปินแห่งโลกศิลปะการ์ตูน


ตั้ม-วิสุทธิ พรนิมิต

          “จริง ๆ การวาดรูปไม่ถือเป็นงานที่ใฝ่ฝัน  เพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในเมืองไทย”  คำกล่าวแรกของหนุ่มตั้ม ซึ่งแรงจูงใจในการวาดการ์ตูนของชายผู้นี้เริ่มต้นมาจากนิสัยรักการอ่าน หนังสือการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก  แนวที่อ่านจะเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น หรือขายหัวเราะ แล้วค่อย ๆ พัฒนามาเป็นการวาดตามต้นฉบับ วาดเล่น ๆ  วาดให้เพื่อนอ่านมาเรื่อย ๆ โดยมิได้ตั้งใจว่าจะมาเป็นนักเขียนการ์ตูนมืออาชีพอย่างทุกวันนี้
          จุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นนักเขียนการ์ตูนนั้น หนุ่มตั้มบอกว่า เริ่มจากการนำผลงานไปนำเสนอให้กับนิตยสาร Katch แห่งค่ายเพลง Bakery Music โดยมีบอย-โกสิยพงศ์  เป็นผู้ตั้งสำนักพิมพ์แห่งนี้  “ผลงานที่นำไปเสนอตอนนั้น ผมทำเป็นเรื่องสั้นหลาย ๆ เรื่อง ถือเป็นผลงานชิ้นแรกที่นำไอเดียไปเสนอคนภายนอกที่ไม่ใช่กลุ่มเพื่อน พอเห็นหนังสือ Katch  ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการ์ตูนอยู่ด้วย  ก็คิดว่าน่าจะลองเอาผลงานไปทิ้งไว้เผื่อจะได้ลงตีพิมพ์”

          นักเขียนการ์ตูนส่วนใหญ่จะเคยผ่านเวทีการประกวดวาดภาพมาบ้าง แต่สำหรับหนุ่มคนนี้กลับไม่ได้ใช้เส้นทางนั้นเลย “เคยมีความคิดที่จะส่งผลงานของตัวเองเข้าประกวดในหลาย ๆ เวที แต่ก็ไม่เคยทำทันสักที จนเลิกความคิดพวกนั้นไป”  นั่นเป็นประโยคบอกเล่า ก่อนที่หนุ่มตั้มจะส่งผลงานชิ้นแรกที่วาดขึ้นในสมัยเรียนไปที่นิตยสาร Katch 
          แต่อาจจะด้วยลายเส้นที่สร้างสรรค์มากับมือ หรือจะเป็นเพราะโชคช่วยก็ตามที แต่ผลงานของเขาก็ได้ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Katch และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำงานเป็นนักเขียนการ์ตูน
          “ผลงานได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร Katch  เป็นเล่มแรก จากนั้นก็ได้ตีพิมพ์ลงใน Manga Katch ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์เดียวกัน มีผลงานออกไปได้ประมาณ 2 ปี ก็มีนิตยสารชื่อดังอย่าง Aday  ติดต่อเข้ามา แล้วก็เขียนให้ Aday มาตลอด รวมระยะเวลาในการทำงานให้กับนิตยสารในประเทศไทยประมาณ 5 ปี
          หลัง ๆ เริ่มมีความคิดที่จะลองไปค้นหาตัวเองที่ประเทศญี่ปุ่นดู ตอนเรียนจบใหม่ ๆ คิดว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศที่ไหนสักแห่ง ก็มานั่งคิดว่าจะเรียนอะไรดี เพราะเป็นคนเรียนไม่เก่ง ถ้าเรียนต่อด้านการวาดการ์ตูนก็สอบตกอยู่ดี เพราะเป็นคนที่มีความคิดไม่เหมือนกับอาจารย์ตลอด  สรุปว่าไม่ต้องไปเรียนอะไรเลย เรียนแค่ภาษาก็พอ  แค่ใช้ชีวิตและสื่อสารกับผู้คนได้เป็น พอ                                                                                                 
         

          ใช้ชีวิตและทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นประมาณ 3 ปี เรียนภาษาปีครึ่ง  ช่วงนั้นมีงานเข้ามาให้ทำเรื่อย ๆ เพราะเอาผลงานที่เคยทำในเมืองไทยทั้งหมดซึ่งมีการ์ตูน 10 เล่ม เอามาแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น และทำ Animation ใส่  Subtitle ภาษาญี่ปุ่น แล้วจัดงานแสดงการ์ตูนตามร้านอาหาร ที่เปิดให้คนมาเช่าพื้นที่เพื่อโชว์ผลงานโดยเฉพาะ
          ช่วงแรกฉาย Animation พร้อมกับแจกใบปลิวไปด้วยเผื่อคนที่สนใจจะแวะเข้ามาดูงานและให้กำลังใจเรา  ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี  อาจเป็นเพราะงานที่จัดแสดงไม่ได้ใหญ่โตอะไร จัดในร้านเล็ก ๆ มีคนดูประมาณ 60-70 คน  เก็บค่าเข้าชมคนละประมาณ 500 บาท
          ขณะเดียวกันก็พยายามเอาผลงานที่มีอยู่มาแปลแล้วพิมพ์เอง  วางหน้าเคาน์เตอร์เวลามีโชว์ผลงาน เผื่อคนเดินผ่านไปผ่านมาสนใจแวะมาเปิดอ่านดู แล้วซื้อไปคนละเล่ม  สองเล่ม ขายเล่มละ 300 บาท พิมพ์เองเลยพอจะได้กำไรอยู่บ้าง” 


          การค้นหาตัวตนของหนุ่มตั้มในระยะเวลา 3 ปีที่ญี่ปุ่น หล่อหลอมให้ฝีมือและสไตล์ในการสร้างสรรค์งานมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น  “สิ่งที่ทำให้คิดได้คือ งานที่ดีจะออกมาจากสังคมที่อยู่   ออกมาจากชีวิตที่เราอยู่ แม้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ผลงานต้องออกมาเป็นการเล่าเรื่องจากยุคสมัยนั้น สิ่งแวดล้อมที่อยู่ตรงนั้น นิสัยจริง ๆ ที่เป็นอยู่ตอนนั้น หรือแนวความคิดที่มีต่อสังคมต่อชีวิตในเวลานั้น
          ถ้าเรานำเสนอออกมาตรง ๆ จะทำให้เนื้อหามีความน่าสนใจยิ่งขึ้น พอคนได้อ่านจะรับรู้ประสบการณ์และเริ่มมีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน  งานของผมที่ทำส่วนใหญ่จะเป็นงานวาดภาพประกอบคอลัมน์ต่าง ๆ ในนิตยสาร เช่น วาดปกนิตยสาร พอรู้ตัวว่างานที่ดีต้องออกมาจากสังคมที่ดี ก็มีความคิดอยากจะกลับเมืองไทย” 

          ไอเดียในการสร้างสรรค์งานการ์ตูนของผู้ชายคนนี้ ส่วนใหญ่จะได้มาจากการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป “ต้องบอกว่ามันเหมือนกับประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัว พอไปชนกับเหตุการณ์ข้างนอกจะเกิดข้อความบางอย่างขึ้นมา แต่จะมีกระบวนการคิดที่แตกต่างและมากกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดไอเดีย หรือข้อความต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมา
          พอมีไอเดียหลาย ๆ ก้อนมาปะทะกันก็จะเกิดเป็น Story และเกิดการเปรียบเทียบที่มีรสชาติขึ้นมา จากนั้นจะใช้การสังเกตและรวบรวมนำมาให้ผู้อ่านได้อ่านกันอย่างจุใจ  ฉะนั้น เวลาคิดไอเดียจะมีเข้ามาในสมองตลอดเวลา แต่เรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ตลอดทั้งชีวิต เพราะเป็นสิ่งที่จะถับถมกันจนกลายเป็นความรู้ของตัวเอง แต่เวลาจะใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในหัวนำออกมาทำงานนั้นจะใช้เวลาเพียงนิดเดียว
          ผมไม่ใช่คนวาดรูปสวยมาก แค่วาดพอที่จะสื่อสารให้คนอ่านรู้เรื่องได้  บางทีถ้าวาดในเรื่องที่ละเอียดมาก ๆ  ต้องทำวันละหน้า นั่นคืออย่างช้าสุด แต่ถ้าเร็วสุดจะวาดได้วันละ 20 หน้า แต่วันละ 20 ไม่ใช่ว่า 2 วันจะได้ 40 หน้า วันต่อมาอาจจะเหนื่อยและขี้เกียจ กลายเป็นไม่ทำอะไรเลย  ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในตอนนั้น”

          สไตล์การวาดภาพของหนุ่มตั้มล้วนเป็นที่น่าสนใจและนิยมชมชอบของเหล่าบรรดา สาวกการ์ตูนเป็นอย่างมาก และเรื่องแรกที่สร้างความฮือฮามากก็คือ he she it (ฮีชีอิท) เพราะเป็นผลงานที่บ่งบอกความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผู้เขียน เพื่อต้องการสะท้อนตัวตนออกมาให้ได้มากที่สุด จึงทำให้มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักใน การ์ตูนชุดนี้
          “การ์ตูนชุดนี้เป็นการวาดขึ้นมาก่อนที่จะเป็นนักวาดการ์ตูนมืออาชีพ จึงอยากคงความเป็นต้นฉบับที่ต้องการจะเขียนไว้อ่านเอง เลยไม่มีการลบหรือแก้ไขในสิ่งที่วาดผิดพลาดใด ๆ ทั้งสิ้น อยากรู้ว่าตอนนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง  สิ่งสำคัญคือ อยากบันทึกช่วงเวลานั้นไว้ทั้งหมด ว่าตอนนั้นเป็นคนอย่างไร  วาดรูปได้แค่ไหน คิดอะไร เขียนอะไรผิดไปบ้าง

          ทั้งหมดที่ทำไปคือการบันทึกเท่านั้นเอง จะสนุกหรือไม่นั้นไม่ได้คิดเลย  เขียนเพื่อว่ากลับมาอ่านอีก 10 ปีข้างหน้าจะนึกออกเลยว่าเคยเป็นคนอย่างไร นี่คือ he she it  แต่พอต้องมารับงานที่มีนายจ้างเป็นตัวกำหนดชิ้นงาน ซึ่งไม่ใช่ตัวเราสั่ง บางครั้งก็ต้องลด Ego ของตัวเองลงมาบ้าง ต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับคนอื่น เพราะตอนนี้ไม่ได้ทำงานตามใจชอบแล้ว
          มีหลักการที่ต้องมานั่งคุยกันแล้วตกลงคนละครึ่งทาง คือทางผู้จ้างต้องรู้อยู่แล้วว่าผู้วาดมีพื้นฐานอย่างไร และวาดการ์ตูนแนวไหน ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากในการจูนเข้าหากัน และไม่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างการว่าจ้างในการวาดภาพงานต่าง ๆ นี่คือหลักง่าย ๆ ที่ใช้อยู่ในชีวิตการทำงาน”
          เมื่อถามถึงแผนงานในอนาคต ศิลปินคิดต่างคนนี้บอกว่า “เป็นคนที่ไม่เคยวางแผนอะไรในชีวิต และไม่มีแผนด้วย ตอนนี้ใครจ้างอะไรมาก็ทำ ถ้าวันหนึ่งไม่มีใครจ้างแล้วถึงจะเริ่มคิดงานของตัวเอง และจะทำให้มีคนกลับมาจ้างอีกครั้ง เพราะคิดว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีงานก็ไม่เป็นไร  หาอาชีพอื่นทำก็ได้ แต่ส่วนตัวคิดว่างานเขียนการ์ตูนยังอยู่ได้อีกนาน เหมือนแรงที่เหวี่ยงออกไปยังไงคนก็ยังคงตอบกลับมา  ปัจจัยอีกอย่างที่ทำให้การ์ตูนไม่มีวันตาย คือ ช่องทางในการสื่อสารจากการ์ตูนมีเยอะมาก สามารถนำไปสอดแทรกได้ในสื่อต่าง ๆ” 

          ต่อคำถามที่ว่า จำเป็นหรือไม่ว่าต้องเรียนด้านการวาดรูปมา จึงจะเป็นนักวาดภาพการ์ตูนมืออาชีพได้  หนุ่มตั้มบอกว่า “ไม่จำเป็นต้องเรียนมา แต่ควรจะมีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่ก่อนผมวาดรูปแย่มาก  มีแต่คนด่าว่าวาดไม่สวย วาดอะไรดูไม่รู้เรื่อง แต่จำไว้เลยว่าการวาดการ์ตูนจะไม่มีวันแย่ลง ถ้าเราฝึกฝนวาดอยู่บ่อยๆ  ขึ้นอยู่กับความขยัน
          ไม่เหมือนเรื่องของจิตใจที่ตอนแรกเป็นคนดีอยู่ แต่ถูกชักนำกลายเป็นคนชั่วไปได้ แต่การวาดรูปนั้น วาดอย่างไรก็เก่งขึ้น เพราะเป็นเรื่องของทักษะและประสบการณ์  ที่สำคัญต้องมีวงเล็บที่น่าสนใจด้วย เพื่อที่จะสื่อสารกับคนอ่านได้เข้าใจมากขึ้น บวกกับวิธีการที่นักวาดการ์ตูนแต่ละคนพยายามถ่ายถอดข้อความเหล่านั้นออกมา ได้อย่างชัดเจน เพียงเท่านี้ผลงานของคุณก็จะประสบความสำเร็จ”
          ใครที่เป็นแฟนผลงานของนักเขียนการ์ตูนคนนี้ สามารถติดตามได้ในนิตยสาร Aday  เรื่อง  “he she it”  เป็นประจำทุกเดือน โดยมีตัวการ์ตูนเด่นที่ชื่อ “เด็กหญิงมะม่วง”  เป็นคาเรกเตอร์หลัก  ปัจจุบันตีพิมพ์ออกมาแล้ว 11 เล่ม  แต่ถ้าใครชื่นชอบโลกอินเทอร์เน็ตก็สามารถเข้าไปดูผลงาน Animation ฝีมือของหนุ่มคนนี้ได้ 

          ล่าสุดสำหรับผลงานหนังสือการ์ตูนเรื่อง “ชิงช้า” ที่วางจำหน่ายแล้วที่ประเทศญี่ปุ่น สำหรับในประเทศไทยสาวกการ์ตูนสามารถหาอ่านได้เป็นประจำที่นิตยสาร Mud ของสำนักพิมพ์ใต้ฝุ่น  และอีกผลงานที่ตีพิมพ์และจำหน่ายอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นคือ การ์ตูนเรื่อง Ikki , Everybody everything  ควันใต้หมวก
          ก่อนจบการสนทนาหนุ่มตั้ม ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้ว่า “คนเราต้องรู้จักหลีกเลี่ยง ถ้านี่คือกำแพง ตัวเราอยู่หลังกำแพงด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งคือนักเขียนที่รวยแล้ว แล้วเราจะเดินทะลุกำแพงไปอีกฝั่ง มันก็เป็นไปไม่ได้  บางครั้งต้องยอมรับความจริงว่าเราข้ามไปไม่ได้  แต่ถ้าเราขี้เกียจทุบกำแพง ก็หาทางอื่นเดินอ้อมไปยังอีกฝาก โดยที่เราไม่เจ็บตัวดีกว่า  แค่เปลี่ยนจุดหมายแต่ก็สามารถข้ามไปฝั่งได้เหมือนกัน” 
          ขอขอบคุณร้านวู้ดสต๊อค ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้  ผู้สนใจสามารถแวะไปชิมไปชมบรรยากาศได้ทุกวัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
www.woodstockbangkok.net หรือโทร.08-9448-0091

http://www.ejobeasy.com/jobnewstudetailcarrer.php?n=100823145610 

วิชัย เบญจรงคกุล ถึงเวลาแบ่งปันเพื่อสังคม


Bookmark and Share
CSR ไม่ใช่เรื่องที่หวังประโยชน์ในแง่กำไรขาดทุน ไม่ใช่เรื่องของค่าใช้จ่าย แต่เป็นหน้าที่คนในสังคม

  
          เมื่อ ได้ขยับจากเก้าอี้คณะกรรมการขึ้นมานั่งในตำแหน่งประธานโครงการมอบทุนการ ศึกษาแก่นิสิต นักศึกษา โดยมูลนิธิยุทธสาร ณ นคร เพื่อสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย คุณวิชัย เบญจรงคกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบญจจินดา โฮลดิ้ง จำกัด ไม่รอให้ตกยุค จึงได้ดึงเรื่อง CSR ขึ้นมาเป็นหัวข้อการประกวดชิงทุนในปีนี้
          CSR (Corporate Social Responsibility) สำหรับองค์กร “เบญจจินดา” ไม่ใช่เรื่องใหม่ และแนวคิดนี้ได้ถูกปลูกจิตสำนึกในการทำธุรกิจของกลุ่มบริษัทเบญจจินดา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบริการวงจรสื่อสัญญาณข้อมูลและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ธุรกิจติดตั้งและบำรุงรักษาระบบสื่อสารโทรคมนาคมสารสนเทศ ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย หรือธุรกิจบริการข้อมูลข่าวสารและการศึกษาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
          ดังจะเห็นได้จากเอกลักษณ์ที่ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ หนึ่งในนั้นคือการปันสู่สังคม นอกเหนือจากกล้านำ ทำได้ เชี่ยวชาญ และขยันรู้  โดยเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมมูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิด ด้วยการมอบทุนให้เยาวชนมีความรู้กลับไปพัฒนาบ้านเกิดตนเอง
          โครงการมอบทุนการศึกษาฯ โดยมูลนิธิยุทธสาร ณ นคร เพื่อสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย ช่วงที่ผ่านมา มุ่งแข่งขันด้านการคิดแผนธุรกิจเป็นหลัก แต่ปีที่ 7 นี้ เน้นการสร้างต้นแบบนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม มากกว่าการหากำไรขาดทุน ในระดับนิสิต นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปี 2 ขึ้นไป ภายใต้โครงการ “สร้างสรรค์สังคมที่เป็นสุขกับ TMA” ที่มีมูลค่าทุนการศึกษารวมกว่า 5 แสนบาท 
          ทีมที่ได้รับคะแนนสูงสุด 3 ทีมสุดท้าย จะได้รับเงิน 50,000 บาท เพื่อนำแนวคิดไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ และทีมที่ชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษา 150,000 บาท

          CSR มีอะไรที่มากกว่ากำไรขาดทุน          
           เนื่องจาก TMA (สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย) เป็นสถาบันที่ให้ความรู้ด้านธุรกิจ การสร้างคนให้มีประสิทธิภาพและความสามารถ โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าร่วมโครงการ คิดแผนและต่อยอดธุรกิจ ซึ่งทุนประเภทนี้มีหลายหน่วยงานให้ความสนใจและจัดขึ้น ขณะที่คุณวิชัยมีมุมมองว่าเมื่ออยู่ในสังคมไทย ไม่จำเป็นต้องแย่งกันทำความดี ในทางกลับกันสามารถหาแง่มุมที่เสริมกันได้
          “ในแง่ TMA เราไม่ได้ถนัดหรือเน้นแค่ด้านธุรกิจ ทำกำไรขาดทุน เราต้องการสร้างคนเหมือนกัน ให้เป็นคนมีคุณภาพต่อสังคมหรือในองค์กรตัวเอง ก็มีเรื่อง CSR ผมคิดว่าทุกวันนี้นักศึกษาหรือบัณฑิตใหม่ที่ออกไปทำงาน เคยทำโครงการช่วยสังคมสมัยเรียนอยู่ ประสบการณ์อาจน้อยหรือโอกาสใช้ความคิดอ่านมีน้อย เพราะทำในช่วงปิดภาคเรียน และแข่งกันเรียนหนังสือ  ในเมื่อนักศึกษาใกล้ออกมาสู่สังคมภายนอก  ทำไมไม่พยายามผลักดันหรือจุดชนวนความคิดริเริ่มสำนึกเหล่านี้ในตัวนักศึกษา ให้แตกกระจาย โดยเขาได้ใช้ความคิดอ่านที่กำลังศึกษาเล่าเรียนคิดถึงเรื่องนี้ แล้วจะปลูกสำนึกอยู่กับตัวเขาตลอดไป”  
          “ทุกวันนี้ถ้าคิดกำไรขาดทุน หรือเอาชนะกันอย่างเดียว สังคมค่อนข้างรักษาสมดุลลำบาก Corporate Citizen หรือการเป็นส่วนหนึ่งในสังคมที่ดี แม้ว่าในธุรกิจเอง จิตสำนึกสาธารณะควรมีทุกคน ไม่มากก็น้อย เราต้องเริ่มปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ TMA คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งดีที่หันมาทำโครงการนี้  ไม่ใช่ไม่มีคนทำ มีแต่ไม่มากเท่าหากำไรขาดทุน”
          จากการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินโครงการเมื่อปีที่ผ่านมา คุณวิชัยมีข้อเสนอแนะว่าหลายโครงการน่าสนใจ แต่ยังมีด้านมืด เช่น การใช้ทรัพยากรของชาติที่ไม่คุ้มค่า การละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือกระทบสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว
           “โจทย์ที่ให้ประมาณว่าทำ อย่างไรให้ธุรกิจฟื้นตัว คุณไปทำต้องดูหน่อยว่าสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร หรือกำลังปลูกฝังกำไรขาดทุนโดยไม่ได้คิดถึงคุณค่าเชิงสังคม ถ้าอย่างนั้นเราน่าจะนำมิติเหล่านี้มาพูดคุยและปลูกฝังกันไป ด้วยกิจกรรมช่วยเหลือสังคมควบคู่ธุรกิจ เป็นโมเดลที่ยั่งยืนได้” 

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100802143435
          CSR เป็นหน้าที่ของคนในสังคม          
           การแบ่งปันในเชิงธุรกิจไม่จำเป็นที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ผลักดันฝ่าย เดียว พนักงานสามารถริเริ่ม และดึงดูดความสนใจตามลำดับชั้นจนเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนได้
          “เราอยู่องค์กรใหญ่ที่มีประสบการณ์ สำหรับเราละทิ้งไม่ได้ CSR ไม่ใช่เรื่องที่หวังประโยชน์ทางตรงทางอ้อมในแง่กำไรขาดทุน ไม่สามารถคิดว่าเป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย แต่เป็นหน้าที่คนในสังคม ตราบใดที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ ต่างคนต่างทำ คล้ายกันบ้าง ต่างกันบ้าง ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่มีใครทำ ช่วยกันทำคนละนิดละหน่อย อย่าคิดว่าเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ถ้ามีประชากรที่ได้ประโยชน์หรือผลพลอยได้จากสิ่งที่องค์กรต่าง ๆ ร่วมกันทำ”
ไม่ ว่าเศรษฐีหรือคนที่มีทรัพย์อันจำกัดทำ CSR ไม่ว่าจะมีเงินหนึ่งล้านบาทหรือร้อยล้านบาท เป้าหมายคือทำอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
          “เราไม่อยากปลูกฝังว่า เขียนเช็คเปล่าหนึ่งใบ ไม่ใส่ตัวเลข แล้วผลาญได้ ทุกอย่างมีมิติ ขั้นตอน วิธีการทำ ถ้าคุณทำ CSR เพื่อประชาสัมพันธ์ ออกทีวีทุกวันว่าคุณปลูกป่า ทำน้ำใส ทั้งที่เงินประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนรู้หรือเข้าถึงควรเป็นส่วนน้อย ควรใช้วิธีอื่นในการขยายวงคนมีส่วนร่วม และนำเงินกลับไปทำประโยชน์ที่ต้นสาย”
          ในฐานะองค์กร มีทุน มีส่วนกำไรที่หาได้ ทำอย่างไรจึงจะช่วยคนขาดแคลน สร้างเสริมภูมิที่เขาขาด คนมีต้องปัน ไม่ใช่ให้ทาน ปันในที่นี้อยากเห็นคนประสบความสำเร็จ อยู่ดีกินดี มีความก้าวหน้าเหมือนฉัน ไม่ใช่เอาเงินไปให้ สิ่งที่เราประสบความสำเร็จมาได้ บางอย่างมาจากการขวนขวาย ดิ้นรน เขาขาดอะไรในเรื่องความรู้ อยู่ในที่กันดาร หรือให้โอกาสเข้ามาฝึกงาน รับคนพิการเข้ามาทำงาน
          “สังคมไทย เริ่มมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น take not give การให้ การปันน้อย ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ กลัวโดนหลอก ทุกวันนี้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่ความกลัว”
          การปลูกฝัง CSR เริ่มต้นได้สองทางคือ คนส่วนมากที่เป็นพนักงาน (bottom up) และผู้บริหาร (top management) ที่คิดว่าการช่วยเหลือสังคมมีประโยชน์
          “ในระดับ bottom up พนักงานมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนั้นจนกลายเป็นการแพร่ขยายมาถึงระดับบน และผู้บริหารปฏิเสธไม่ได้ หรือเห็นดีเห็นงามด้วย CSR ที่ประสบความสำเร็จ ต้องเป็นโครงการที่พนักงาน ผู้บริหารในระดับต่าง ๆ เจ้าหน้าที่บริษัททุกคนมีความรู้สึกผูกพัน มีส่วนร่วมในสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นผลงานของเขา เช่น โครงการเล็ก ๆ ประเภทปีละครั้ง ช่วยคนชรา บ้านเด็กกำพร้า ก็เป็นการแบ่งปันชนิดหนึ่ง”
          คำตอบของการทำ CSR ในความหมายของคุณวิชัย ในฐานะคนในสังคมไม่จำเป็นต้องรวย หากการตอบแทนสังคม ช่วยเหลือผู้ที่ขาดโอกาส ไม่ว่ามากหรือน้อย ทุกคนทำได้ และการให้ยังส่งผลถึงการลดช่องว่าง ลดความแตกแยกที่เกิดจากการเอาเปรียบหรือแย่งชิง โดยไม่คิดถึงคนอื่น
          เป็นความภูมิใจลึก ๆ ของพนักงานในองค์กรที่ทำ CSR เพื่อสังคม  “ผมจินตนาการว่าสมมติเราอยู่ในองค์กรที่ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ เวลาไปเป็นป้ายหรือโครงการในทีวี อาจมีภาพลบ ทำไมบริษัทเราไม่ทำ ไม่เกิดความรู้สึกที่ดีต่อองค์กร”

          วางแผน CSR ด้วยบทบาทผู้นำธุรกิจ          
          โครงการในปีนี้แตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมา นักศึกษาต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าจะทำประโยชน์ต่อเนื่องอย่างไรให้ยั่งยืน
          “ความสำเร็จคงไม่ได้เกิดขึ้นเปรี้ยงเดียว ต้องใช้เวลา แล้วทำให้ยั่งยืน คุณจบไปแล้ว โครงการยังอยู่ไหม จะทำอย่างไรที่จะขายความคิดให้คนเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องซื้อ”
          คุณวิชัยคาดหวังว่าระยะเวลาโครงการ 2-3 เดือน จะช่วยกระตุ้นต่อมให้ผู้ร่วมโครงการคิดถึงคนในสังคมที่แวดล้อมตนเอง ด้วยบทบาทการเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรธุรกิจหรือสังคมที่ผลักดันให้เกิดค่านิยม และจิตสำนึกที่ทุกคนควรคำนึง
          “ไม่มีสถาบันไหนมีวิชา CSR มีแต่กิจกรรมภาคฤดูร้อน ไปช่วยทาสี สร้างบ้าน สอนหนังสือ จึงเป็นอีกแนวคิดที่ต้องเริ่มเข้าไปอยู่ในกระบวนการสอน วันนี้ตอบได้ชัด ๆ เหมือนเป็นแรงผลักดันในโลกทั้งใบที่เรียกร้องให้ประชาชนหรือมนุษยชนหันมา สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง มองไปมองหาเห็นแต่คนเห็นแก่ได้ เริ่มเป็นบ่อเกิดความขัดแย้ง ทำให้มนุษย์แยกเป็นก๊กเหล่า”
          “เวลาทำแผนธุรกิจ คุณไม่ได้ทำในฐานะเจ้าหน้าที่บริษัท ถ้าเป็นผู้นำจะทำ CSR องค์กรอย่างไร คิดใช้เงิน  ต้องคิดหาเงินด้วย การให้ในเชิงแบ่งปันในสังคม เริ่มได้ตั้งแต่จำนวนน้อย ๆ และการให้ไม่เคยขาดทุน ถ้าโครงการดี มีคนชื่นชมก็สามารถเรี่ยไรเงินส่วนหนึ่งไปริเริ่มโครงการ”
          “นักธุรกิจรุ่นใหม่มีแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ดี กระตือรือร้น มีเทคนิคค้นคว้าหาคำตอบที่ดี การศึกษาส่วนหนึ่งทำให้เขามองโลกกว้างขึ้น โตขึ้นมาด้วยประสบการณ์ที่ได้สัมผัสชีวิตจริงในสังคม เราเหมือนสารเร่งปฏิกิริยา การที่เขามีโอกาสเอาความคิดที่อาจยังเป็นเมล็ด เข้าสู่สภาวะแวดล้อมทำให้โต ผลิเป็นลำต้นอ่อน มีใบ เริ่มสังเคราะห์แสง อย่างน้อยได้หายใจเอาออกซิเจนบนผิวโลก  เราไม่ได้ทำให้เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุด แต่เขาไม่กลัวสิ่งที่ต้องเผชิญในโลกธุรกิจ กล้าคิด กล้านำเสนอ” 

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100802143435
 

Hy-pot...กระถางไฮบริด แนวคิดใหม่ปลูกต้นไม้คู่เลี้ยงปลา

Hy-pot กระถางไฮบริด สิ่งประดิษฐ์แนวคิดใหม่สร้างสรรค์โดย “เจริญชัย หงส์ถาวรสิริ”หรือ “เล็ก” จากการแก้ปัญหายุงวางไข่ตามแหล่งน้ำให้กลายมาเป็นธุรกิจ สร้างเป็นกระถางไฮบริดที่มากประโยชน์ เพิ่มความเก๋ไก๋ด้วยไอเดียแปลกใหม่ สามารถทำเป็นอา

  

เจริญชัย หงส์ถาวรสิริ หรือ “เล็ก
            
          “แนวคิดเริ่มแรกในการทำ hy-pot กระถางไฮบริด เกิดจากการมองเห็นปัญหาของยุงที่ชอบวางไข่ตามแหล่งน้ำ  จนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธ์ของลูกน้ำ  เลยเกิดความคิดว่า ถ้านำต้นไม้มาปลูกไว้ที่เดียวกับที่เลี้ยงปลา น้ำที่ใช้รดต้นไม้ก็จะทำประโยชน์ให้ปลาไปในตัว เลยกลายมาเป็น Hy-pot กระถางไฮบริด  กระถางที่ให้มุมมองแนวใหม่ สร้างความแตกต่างจากรูปแบบกระถางที่ใช้กันอยู่ทั่วไป” 
          กระถางไฮบริด (Hybrid Pot) คือ กระถางที่รวมการปลูกต้นไม้และเลี้ยงปลาไว้ด้วยกัน โดยมีพื้นที่ส่วนบนสำหรับปลูกต้นไม้และมีพื้นที่ด้านล่างสำหรับเลี้ยงปลา อาศัยหลักการบำบัดเชิงนิเวศน์ของการพึ่งพากันและกันระหว่างการปลูกต้นไม้และ เลี้ยงปลา 


         

          เมื่อรดน้ำต้นไม้  ท่อปั๊มน้ำจากส่วนที่เลี้ยงปลา จะดูดน้ำกลับขึ้นไปรดน้ำต้นไม้ด้านบน ซึ่งน้ำที่ดูดขึ้นไปนี้ ต้นไม้จะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะต้นไม้จะได้รับน้ำที่ผสมมูลปลาที่ปล่อยออกมากลายเป็นปุ๋ยอย่างดีแก่ ต้นไม้
          ส่วนน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาด้านล่างของกระถาง จะได้รับการบำบัดจากต้นไม้โดยการดูดซึมและการกรอง ด้วยการไหลผ่านชั้นหินภูเขาไฟที่ใช้เป็นวัสดุปลูกต้นไม้ และแผ่นใยกรองจากส่วนที่ปลูกต้นไม้ด้านบน ซึ่งระบบดังกล่าวจะหมุนเวียนเอื้อประโยชน์กันและกันภายในกระถาง จึงไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีใส่ในต้นไม้ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม 

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100727174014
          กระถางไฮบริด ประกอบด้วยพื้นที่ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ใช้ปลูกต้นไม้และส่วนที่เลี้ยงปลา สามารถยกถอด เพื่อแยกส่วนทั้งสองนี้ได้  จึงง่ายและสะดวกในการถอดล้างทำความสะอาด  สามารถปลูกได้ทั้งต้นไม้ในร่มและต้นไม้ที่ชอบแดด


          ปัจจุบัน hy-pot ออกผลิตภัณฑ์มา 2 รุ่น คือ hypot-clerar และ  hypot-nature ซึ่ง  hypot - clear โดดเด่นด้วยสไตล์งาน handmade ตัวกระถางไฮบริดทำด้วยแก้วเป่า ที่ต้องอาศัยทักษะฝีมือและความชำนาญในการเป่าของช่าง  รวมทั้งใช้งานเพ้นท์แก้วเข้ามาผสมผสาน ทำให้มีลวดลายที่งดงามปราณีต หลากหลายรูปแบบ 
          สำหรับ hypot - nature เป็นสไตล์ในแบบจำลองธรรมชาติของถ้ำปะการัง กระถาง hybrid ทำด้วยแก้วเป่าและมีบางส่วนทำจากเรซิ่น  ทำให้มีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการถอดล้างทำความสะอาด  ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 รุ่นราคาจำหน่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 1,300 บาท ไปจนถึงราคาประมาณ 3,000 กว่าบาท

 
          “จุดเด่นของ  hy-pot กระถางไฮบริด คือ เราเป็นผู้คิดริเริ่มรายแรก ซึ่งได้รับการจดอนุสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถอดล้างทำความสะอาดง่าย เป็นสินค้าที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเป็นธรรมชาติ และชอบตกแต่งบ้านเพื่อความสวยงาม” 
          สำหรับผู้ที่สนใจ  hypot  กระถางไฮบริด  (Hybrid Pot) สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  คุณเจริญชัย หงส์ถาวรสิริ  เลขที่  390  ถนนเทศบาลนิมิตเหนือ 30  แขวงลาดยาว เขตจตุจักร   กรุงเทพฯ 10900 โทร. 081-629-2470  หรือ

www.myhypot.com
   

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วรรณษา ทองวิเศษ ธุรกิจตัวใหม่สมุนไพรเพื่อความงาม



คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับดาราสาวเจ้าบทบาท คุณวรรณษา ทองวิเศษ วันนี้ผันตัวเองมาทำธุรกิจเครื่องสำอางจากสมุนไพรธรรมชาติ โดยเจ้าตัวบอกว่าเป็นคนที่ชอบเรื่องความงามและเครื่องสำอางมาแต่ไหนแต่ไร แล้ว พอมีโอกาสได้ค้นคว้าได้ศึกษาได้เรียนรู้ก็เลยคิดจะนำสิ่งที่ตัวเองได้

  

          คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับดาราสาวเจ้าบทบาท คุณวรรณษา ทองวิเศษ วันนี้ผันตัวเองมาทำธุรกิจเครื่องสำอางจากสมุนไพรธรรมชาติ โดยเจ้าตัวบอกว่าเป็นคนที่ชอบเรื่องความงามและเครื่องสำอางมาแต่ไหนแต่ไร แล้ว พอมีโอกาสได้ค้นคว้าได้ศึกษาได้เรียนรู้ก็เลยคิดจะนำสิ่งที่ตัวเองได้ร่ำ เรียนมาถ่ายทอดออกมาเป็นเครื่องสำอางสมุนไพรในแบรนด์ ‘Wannasa’
          หลัง จากที่ลงทุนไปเรียนทำเครื่องสำอางมาจากชมรมสมุนไพรและพรรณไม้ ศาลายา คุณษาก็ร่วมลงทุนกับอาจารย์ที่สอนในการคิดค้นผลิตเครื่องสำอางสมุนไพรเพื่อ สุขภาพ โดยมีเครื่องสำอางประเภทต่าง ๆ ครอบคลุมไปทั่วทั้งตัว อาทิ สครับข้าวโอ๊ต เป็นสูตรที่คุณษาเองใช้มาตั้งแต่เด็ก ก็เลยเอามาเผยแพร่ให้ทุกคนได้ใช้ ซึ่งสครับตัวนี้เป็นสครับธัญพืช มีส่วนผสมหลักของข้าวโอ๊ต ทานาคา และสมุนไพรอื่น ๆ อีกหลากหลาย ครั้งแรกที่ได้ใช้ก็จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงผิวจะเนียนเรียบอย่างเห็น ได้ชัด นอกจากนั้นก็จะมียาสมุนไพรรักษาสิว ฝ้า กระ, ครีมหน้าใส, ครีมกันแดดเนื้อซิลิโคน SPF 60, สครับน้ำนมข้าว, Micro collagen cream ฯลฯ

          ซึ่ง เครื่องสำอางแต่ละตัวจะผ่านการวิจัยอะไรหลายพิถีพิถัน ให้ความสำคัญเรื่องของความปลอดภัย การวิจัยค้นคว้า และควบคุมการผลิต เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบพืชสมุนไพรทุกอย่าง ต้องปลูกเองเพื่อควบคุมคุณภาพให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ควบคุมให้ได้คุณภาพสูง ๆ สุด มีการคำนวณสูตรและทดลองใช้ ถ้าเกิดว่าผลมันออกมาไม่ดี 50 -50 ก็จะไม่ปล่อยออกมา เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่า เครื่องสำอางทุกตัวที่ออกมาจำหน่ายในแบรนด์ ‘Wannasa’ รับประกันได้ว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์           ถ้า ใครสนใจสินค้าหรือคิดจะประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอางสมุนไพรสามารถสอบ ถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-6847-3337, 08-5400-5444 หรือ www.wannasabeautyandherbs.com
http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100817105856 

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อิ่ม หมี พี มันฯ บาย จั๊กจั่น

วันนี้ เราพาคุณมาถึงศูนย์การค้าลาวิลล่า พหลโยธิน ซ.6 เพราะเรามีนัดทานข้าวกับดาราสาวสุดสวยจั๊กจั่น-อคัมย์สิริ ที่ร้าน อิ่ม หมี พี มันฯ บาย จั๊กจั่น ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเป็นร้านของเธอเอง แค่ชื่อร้านก็ทำให้เราอิ่มอกอิ่มใจไปเกินครึ่ง

  
วันนี้ เราพาคุณมาถึงศูนย์การค้าลาวิลล่า พหลโยธิน ซ.6 เพราะเรามีนัดทานข้าวกับดาราสาวสุดสวยจั๊กจั่น-อคัมย์สิริ ที่ร้าน อิ่ม หมี พี มันฯ บาย จั๊กจั่น ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเป็นร้านของเธอเอง แค่ชื่อร้านก็ทำให้เราอิ่มอกอิ่มใจไปเกินครึ่ง 
แถมบรรยากาศของร้านสร้างความสดใสซาบซ่าตั้งแต่แรกเห็น ด้วยงานกราฟิตี้มันส์ ๆ  จากศิลปินป๊อปอาร์ตที่เรารู้จักกันดี อย่าง โอ๋ ฟูตอง และ P7 สร้างสรรค์งานกราฟิคลายการ์ตูนออกมาโลดแล่นท้าทายจินตนาการของนักชิม ไม่เพียงแค่นั้นเรื่องราวของกราฟิตี้ยังถูกส่งผ่านมาถึงเมนูร้าน จานรองแก้ว ผ้ากันเปื้อน ผนังภายในร้านของร้านสร้างความต่อเนื่องของอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
 
    นอกจากสไตล์การตกแต่งที่ไม่ซ้ำแบบใคร เรื่องรสชาติของอาหารก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะที่นี่ได้รวมเอาสุดยอดของเมนูเด็ดถึง 4 ร้านมาไว้ด้วยกัน อาทิ ร้าน อิ่ม หมี พี มัน ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือนาวา ร้าน Ice Aholic และร้านเค้กชื่อดังอย่าง Something Sweet เรียกได้ว่ามาที่นี่ที่เดียวทานอาหารได้ครบทุกสูตรความอร่อย ตั้งแต่ของคาวลากยาวไปถึงของหวานเลยทีเดียว
 http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100810142334
เมนู ขึ้นชื่อที่ทางร้านเต็มใจนำเสนอเพื่อต้อนรับการมาเยือนของเราคือ ข้าวกุ้งใหญ่ราดซอสมะขาม ข้าวกะเพราไก่ไข่ระเบิด เสิร์ฟพร้อมไข่ต้มยางมะตูมและซุปสาหร่าย ตามมาด้วย ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กซี่โครงราดแจ่ว รสชาติจี๊ดจ๊าดถึงใจ ตบท้ายด้วยเมนูของหวาน Nutella เนื้อเค้กนิ่ม หอมครีมนูเทลล่า รสชาติหวานมัน กลมกล่อมลงตัว แต่ถ้าใครไม่นิยมทานเค้กจะเปลี่ยนเป็น Snow Ice เย็น ๆ ราดหน้าด้วยผลไม้หวานฉ่ำเป็นเมนูตบท้ายก็ได้เช่นกัน
 
    ใครที่อยากมาชิมอาหารอร่อย ๆ พร้อมเสพงานศิลปะในบรรยากาศสบาย ๆ ก็สามารถแวะเวียนกันมาได้ที่ศูนย์การค้าลาวิลล่า พหลโยธิน ลงรถไฟฟ้าสถานีอารีย์ ร้านเปิดจันทร์-เสาร์ เวลา 11.00-21.00 น. หรือกริ๊งกร๊างสอบถามข้อมูลกันได้ก่อนที่ 0-2619-1894-5 แล้วอย่าลืมมาอิ่มหมีพีมันกันนะจ๊ะ




คิดบวก คิดสร้างสรรค์ กลยุทธ์พัฒนาคนทำงานยุคใหม่


          คำ ว่า creative ความคิดสร้างสรรค์ หรือ positive คิดบวก ในวงการฝึกอบรมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การผสมผสานสองแนวคิดเป็นเรื่องเดียวกันในหลักสูตรที่เรียกว่า “Cresitive Thinking” จะช่วยเติมพลังสร้างสรรค์ในบรรยากาศที่สนุกกับการทำงานมากขึ้น
          อาจารย์ รัศมี ธันยธร ผู้อำนวยการศูนย์ความคิดสร้างสรรค์ เจ้าของหลักสูตร “คิดบวก คิดสร้างสรรค์” หรือ Cresitive Thinking (creative+ positive) จบปริญญาโทด้าน Human Resource Development จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ผ่านการอบรมสัมมนาด้านความคิดสร้างสรรค์ทั้งที่อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และมอลต้า
          ปัจจุบัน เป็นวิทยากรฝึกอบรมผู้บริหารระดับสูงและบุคลากรองค์กรต่าง ๆ ประสบการณ์ที่ผ่านมามีโอกาสให้ความรู้บุคลากรในองค์กรชั้นนำ เช่น กลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป กสิกรไทย ปตท. ธนาคารกรุงไทย IBM P&G Colgate AIS Microsoft สหพัฒนพิบูล นิสสัน ดัชมิลล์

          อาจารย์ รัศมี ยกตัวอย่างให้เห็นภาพของคำว่า creative ด้วยการย้อนไปในระบบการศึกษาในโรงเรียน ซึ่งเห็นชัดว่าไม่ได้กระตุ้นให้นักเรียนคิดอย่างสร้างสรรค์ แต่เน้นด้าน Logical Thinking การค้นหาคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว เมื่อผู้เรียนชินกับวิธีการคิดแบบนี้ จะทำให้การหาทางออกเพื่อแก้ปัญหามีน้อย ตรงกันข้ามการหาคำตอบแนว creative ผู้เรียนสามารถตอบคำถามที่เปิดกว้างมากกว่าหนึ่งคำตอบ เช่น อะไรบวกลบกันได้ 8 เป็นต้น
          ในระบบความคิดแบบ logical ยังมีแนวโน้มให้ผู้เรียนใส่ใจกับจุดอ่อนภายในตัวมนุษย์ที่มีอยู่เพียง 5% เป็นความคิดลบที่ดูถูกตัวเอง เช่น มองสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นไปไม่ได้ หนทางไม่ราบเรียบ ตำหนิติเตียนในสิ่งที่ตัวเองเป็น  แทนที่จะให้ความสำคัญกับด้านบวกที่มนุษย์มีอยู่ 95%
          “ถ้า จะแก้ในสิ่งที่เคยเป็นมา ต้องคิดบวก (positive) ภูมิใจในตัวเอง และหาให้ได้ 95% ของเรามีอะไร หรือคิดสิ่งดี ๆ ที่ทำให้กับพ่อ แม่ เพื่อน สังคม เอาความเข้าท่ามามอง หมั่นคิด หมั่นแสดงออก หมั่นชื่นชมคน คิดทางบวก พูดทางบวก ซาบซึ้งกับสิ่งที่ผู้คนทำให้ เป็นการทำดีตอบแทนคนที่ทำดีกับเรา หรือทำอะไรผิดพลาดไปต้องขอโทษ”
          Cresitive Thinking หลักสูตรที่อาจารย์รัศมีคิดค้นขึ้นและเริ่มสอนเมื่อปี 2540 เน้นเรื่องการอยู่ร่วมกัน การปรับวัฒนธรรมองค์กรอย่างสร้างสรรค์ และการคิดบวก
          “คนที่ทำงานทีม เดียวกัน ถ้าได้เรียนแล้วการทำงานจะราบรื่น วิชา Team Building ไม่ใช่วิชา thinking การจัดวอล์คแรลลี่ ไปกันเถอะ ตอนไปซาบซึ้ง กลับมาเหมือนเดิม”
          ปัจจัย ที่มีส่วนปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ บรรยากาศในองค์กร เป็นบรรยากาศไม่เอื้อให้คนได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น เธอไม่ต้องคิด ฉันบอกเธอ เธอทำ ไม่มีวันไหนที่พนักงานจะบอกว่าทำอย่างไรกันดี หรือใครเสนอปุ๊บ มีคนอื่นไปตัดสินหรือวิจารณ์ บรรยากาศแบบนี้ ไม่มีโอกาสที่ใครจะคิดอะไร
          “ต้อง สร้างบรรยากาศสร้างสรรค์ ไม่ว่ากัน ไม่วิจารณ์ใคร ยอมรับในความคิดเห็น พยายามเข้าใจในความคิดของผู้อื่น ไม่เอาจุดด้อยมานั่งพูด คนส่วนใหญ่เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน เรื่องดี ๆ ไม่พูด เป็นกันหมดทุกประเทศบนโลก”

          ความ สุขในการทำงานจึงเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้คนมี satisfaction ความพึงพอใจในการทำงาน การทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน เป็นการลงทุนต่ำ ราคาถูก ได้ผลดีที่สุด ทำได้โดยฝึกให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ และอนุญาตให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน “แล้วคนจะปลื้มจะมีความสุข เวลาคิดอะไรใหม่ ๆ ได้ จะภาคภูมิใจ ถ้าเป็นแบบนั้นพนักงานมีความสุข”
          ส่วน ปัจจัยภายนอก ได้แก่ เงินทอง สวัสดิการ ชื่อเสียง เป็นตัวบอกว่าใครมีความคับข้องใจในการทำงาน  ถ้าปัจจัยภายนอกดี เช่น เงินดี แปลว่าไม่มีความคับข้อง แต่ไม่เกี่ยวกับความสุข
          ทำ งานได้เงินเยอะ จึงไม่ใช่คำตอบของความสุขในการทำงาน อาจารย์รัศมียกตัวอย่างประกอบว่า “เรามักจะได้ยิน อาชีพนักประพันธ์ไส้แห้ง แต่ยังเป็นกัน ทั้งที่เงินไม่มี แต่มีความสุขมากกว่าคนมีเงินเสียอีก”
          ผลดี ที่เกิดขึ้นกับองค์กรเมื่อพนักงานมีศักยภาพ ใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดความสุข ความเบิกบานในการทำงาน สิ่งที่ตามมาคือความจงรักภักดี และช่วยสร้างความเจริญให้องค์กร
          “ความ คิดสร้างสรรค์ในแง่ธุรกิจ คิดเพื่อแก้ปัญหา นำไปสร้างสรรค์หาวิธีใหม่ ๆ ในการทำงาน การบริการลูกค้า หรือคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ถ้าคิดดี บริษัทมีรายได้มากขึ้น เงินก็มาถึงพนักงาน”
          ภาย ใต้ความคิดบวกและคิดอย่างสรรค์ สองความคิดนี้เมื่อจับคู่ไปด้วยกัน ในฟากของ creative ทำให้คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ โดยมี positive โยงเข้ามุมบวกและคุณธรรม
“ถ้า ไม่ได้ฝึก positive จะคิดอะไรไม่ออกแล้วคิดว่าตัวเองคิดออก เพราะความคิดลบเป็นตัวบล็อกแล้วจะคิดแบบเดิม คิดว่าตัวเองเก่ง และมักพาไปในทางที่คิดว่าตัวเองฉลาดมาก แล้วไปตกหลุมพรางความฉลาด”

          คิดบวก-คิดสร้างสรรค์แบบผู้นำ          ในระดับผู้นำองค์กร อาจารย์รัศมีได้พูดถึงคุณสมบัติที่ผู้นำต้องมี เพื่อพาองค์กรเดินไปข้างหน้า ประกอบด้วย
          -การเป็นผู้นำที่คิดบวก มีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ได้ แล้วสามารถทำให้คนอื่นคิดได้ และสอนให้คนคิดบวกกับคิดสร้างสรรค์ได้
          -คิด ใหญ่ กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ใหญ่กว่าเดิม กล้าลงทุนพัฒนาคน แปลว่าเห็นความสำคัญของคน อย่าคิดว่าคนเป็นน็อต ไปเน้น Management Skill ไม่เน้น Human Skill มุ่งแต่บริหารตัวเลขให้ดูดี ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของคน ชอบลงทุนกับวัตถุ เช่น สำนักงานหรูหรา ดูดี
          -Self Confidence มีความมั่นใจในตัวเอง เห็นคุณค่า ภาคภูมิใจในตัวเอง ผู้นำที่เป็นแบบนี้จะเห็นคุณค่าของคนอื่น
          -ไม่ใช่แค่คิด แต่ผลักดันให้สำเร็จ สร้างสิ่งดีงามให้เกิดขึ้น มีความกล้าหรือมั่นใจที่จะผลักดันให้ลูกน้องหรือลูกทีม make it happen
          -ให้เกียรติคน พัฒนาตัวเองตลอดเวลา สำคัญมากคือเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นและสังคม

          พนักงานแบบไหนที่บริษัทอยากได้          ผลการวิจัยของอาจารย์รัศมีพบว่าถ้าอยากได้คนทำงาน คุณสมบัติ 5 ลักษณะที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการรับคน ประกอบด้วย
          -ต้อง เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ มีทุนมาบ้าง ถ้าเลือกได้ อยากให้มีคุณสมบัติเหล่านี้มาบ้าง ระหว่างเด็กที่มีทุนมา ช่วยคิดได้ เสนอความเห็นได้ กล้าแสดงความคิด คิดบวก มีทัศนคติที่ดี มีวิจารณญาณที่ดี มีอารมณ์ขัน จำเป็นมาก อารมณ์ขันเป็นน้ำมันของรถที่ชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์ ถ้าไม่มีอารมณ์ขัน เวลาคิดอะไรใหม่ ๆ ได้จะฝืด
          -ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบอาสาสมัคร กระตือรือร้น กระฉับกระเฉง ไม่เฉื่อย ปรับตัวเร็ว
          -ทำ งานเก่ง ให้บริการเก่ง ฟังเก่ง จับประเด็นได้ กล้าพูดต่อหน้าคน บุคลิกดูน่าเชื่อถือ อารมณ์ดี อัธยาศัยดี ใส่ใจคนอื่น สนใจคนรอบข้าง คุยกับคนแปลกหน้าได้ดี เข้าใจคนอื่น พูดได้ตรงใจคนฟัง หน้าตารับแขก มีลักษณะน่าเอ็นดู สำหรับผู้พบเห็น หรือคนรอบข้าง
          -สอนง่าย ไม่ดื้อ สนใจใฝ่รู้ ชอบพัฒนาตัวเอง ขยัน อดทน เข้มแข็ง ใจสู้ มีศีลห้า ศีลห้าเป็นตัวรับประกันว่าคนรอบข้างจะปลอดภัย
          -มุ่งมั่น ตั้งใจจริง ทำให้สำเร็จ

          HR กับการพัฒนาคนในองค์กร          HR พัฒนาขึ้นมาอีกระดับจาก Personal Management การบริหารงานบุคคล รับคน สัมภาษณ์ คัดเลือก ส่งต่อแผนกที่ต้องการคนและทำเรื่องเงินเดือน
          “การ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์เริ่มมา 20 กว่าปี มนุษย์สำคัญมาก คนที่ดูทางด้าน HR ต้องเป็นเหมือนที่ปรึกษา ไม่ใช่รับคนเข้ามาแล้วปล่อยไปอยู่กับหัวหน้า พอไปอยู่กับหัวหน้า ช้ำชอกใจก็เรื่องของเขา แต่ HR ดูทั้งภาพรวม ใครคล่องก็ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้คน HR ยังเปรียบเหมือนคนกลางระหว่างพนักงานกับผู้บริหารระดับสูง จะทำให้คนทำงานอย่างมีความสุขต้องสื่อให้ผู้บริหารฝ่ายนำเรื่องนี้ไปแทรก เพื่อเก็บรักษาพนักงาน”
          “ความรู้ เรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีความสำคัญ HR ต้องกล้าหาญบอกกับผู้ใหญ่ ขอส่งคนเข้าไปศึกษาหลักสูตรที่เปิดอบรม จะได้รู้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ และผู้บริหารระดับสูงมอบหมายมาว่าให้ HR หาคนไป การพัฒนาคนบ้านเราชอบไปลงทุนกับวัตถุ ไม่ว่าระดับประเทศหรืองค์กร มองคนเหมือนน็อต น็อตเยอะเอามาสร้างวัตถุ แต่นี่เป็นคน ยิ่งกว่าเพชร ไม่ใช่เหล็กธรรมดา คนเรามีค่ามากกว่าทีวีจอแบนที่ดูนานไปก็เสื่อม”



Creative Thinking Courses
          คิดบวก คิดสร้างสรรค์ (Cresitive Thinking)
          ปรับทัศนคติให้คิดทางบวก คิดสร้างสรรค์ มีพลังสร้างสรรค์ ทำงานแนวรุก เห็นว่าเป็นไปได้ กระตือรือร้น สนุกกับงาน บรรยากาศการทำงานคึกคัก ทำงานได้สำเร็จอย่างมีความสุข
          เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มนวัตกรรม (Lateral Thinking)
คิด สร้างสรรค์ได้ คิดนอกกรอบ คิดนวัตกรรม คิดแตกต่าง คิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่โดยไม่ต้องรอใครสั่ง คิดสร้างสรรค์แนวรุก คิดแก้ปัญหาได้เก่ง ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการใหม่ได้
          คิดนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพ (Simplicity)
          ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ง่ายขึ้น ดีขึ้น เร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มผลงาน ลดค่าใช้จ่าย เวลา และพลังงาน คิดนวัตกรรมในการทำงานได้
          คิดเป็นระบบ สื่อสารตรงประเด็น (Six Thinking Hats)
          คิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีคุณภาพ คิดแบบองค์รวมได้ คิดได้อย่างรอบคอบ ประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ ประชุมอย่างสร้างสรรค์ กระตือรือร้น คิดไปด้วยกันทีละด้าน ลดความขัดแย้ง
          คิดตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ (Six Value Medals)
          คิดตัดสินใจอย่างสร้างสรรค์ ตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ตัดสินใจจากการประเมินคุณค่าอย่างรอบด้าน ตัดสินใจอย่างรอบคอบ ตัดสินใจได้เหมาะสม กล้าตัดสินใจอย่างมีระบบ มีวิธีวิเคราะห์ผลกระทบได้รอบด้าน มีหลักในการขยายวิสัยทัศน์ให้กว้างไกลและมีมุมมองมากขึ้น
          ติดต่อ บริษัท ศูนย์ความคิดสร้างสรรค์ จำกัด โทร.0-2243-4824-7

http://www.ejobeasy.com/jobnewstudetailcarrer.php?n=100809100954


อาจารย์รัศมี ธันยธร
          -ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการศูนย์ความคิดสร้างสรรค์
          -อดีตเลขานุการผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
          -อดีตพนักงานด้านการฝึกอบรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และด้านเงินกู้ต่างประเทศ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
          -อดีตผู้จัดการงานฝึกอบรม บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย
ผลงานเขียน
          -หนังสือถูลู่ถูกังในอังกฤษ
          -The Power of Thinks คิดอย่างฉลาด
          -กวาดขยะความคิด ชีวิตก็ยิ้มได้