ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิชัย เบญจรงคกุล ถึงเวลาแบ่งปันเพื่อสังคม


Bookmark and Share
CSR ไม่ใช่เรื่องที่หวังประโยชน์ในแง่กำไรขาดทุน ไม่ใช่เรื่องของค่าใช้จ่าย แต่เป็นหน้าที่คนในสังคม

  
          เมื่อ ได้ขยับจากเก้าอี้คณะกรรมการขึ้นมานั่งในตำแหน่งประธานโครงการมอบทุนการ ศึกษาแก่นิสิต นักศึกษา โดยมูลนิธิยุทธสาร ณ นคร เพื่อสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย คุณวิชัย เบญจรงคกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบญจจินดา โฮลดิ้ง จำกัด ไม่รอให้ตกยุค จึงได้ดึงเรื่อง CSR ขึ้นมาเป็นหัวข้อการประกวดชิงทุนในปีนี้
          CSR (Corporate Social Responsibility) สำหรับองค์กร “เบญจจินดา” ไม่ใช่เรื่องใหม่ และแนวคิดนี้ได้ถูกปลูกจิตสำนึกในการทำธุรกิจของกลุ่มบริษัทเบญจจินดา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบริการวงจรสื่อสัญญาณข้อมูลและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ธุรกิจติดตั้งและบำรุงรักษาระบบสื่อสารโทรคมนาคมสารสนเทศ ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย หรือธุรกิจบริการข้อมูลข่าวสารและการศึกษาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
          ดังจะเห็นได้จากเอกลักษณ์ที่ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ หนึ่งในนั้นคือการปันสู่สังคม นอกเหนือจากกล้านำ ทำได้ เชี่ยวชาญ และขยันรู้  โดยเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมมูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิด ด้วยการมอบทุนให้เยาวชนมีความรู้กลับไปพัฒนาบ้านเกิดตนเอง
          โครงการมอบทุนการศึกษาฯ โดยมูลนิธิยุทธสาร ณ นคร เพื่อสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย ช่วงที่ผ่านมา มุ่งแข่งขันด้านการคิดแผนธุรกิจเป็นหลัก แต่ปีที่ 7 นี้ เน้นการสร้างต้นแบบนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม มากกว่าการหากำไรขาดทุน ในระดับนิสิต นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปี 2 ขึ้นไป ภายใต้โครงการ “สร้างสรรค์สังคมที่เป็นสุขกับ TMA” ที่มีมูลค่าทุนการศึกษารวมกว่า 5 แสนบาท 
          ทีมที่ได้รับคะแนนสูงสุด 3 ทีมสุดท้าย จะได้รับเงิน 50,000 บาท เพื่อนำแนวคิดไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ และทีมที่ชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษา 150,000 บาท

          CSR มีอะไรที่มากกว่ากำไรขาดทุน          
           เนื่องจาก TMA (สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย) เป็นสถาบันที่ให้ความรู้ด้านธุรกิจ การสร้างคนให้มีประสิทธิภาพและความสามารถ โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าร่วมโครงการ คิดแผนและต่อยอดธุรกิจ ซึ่งทุนประเภทนี้มีหลายหน่วยงานให้ความสนใจและจัดขึ้น ขณะที่คุณวิชัยมีมุมมองว่าเมื่ออยู่ในสังคมไทย ไม่จำเป็นต้องแย่งกันทำความดี ในทางกลับกันสามารถหาแง่มุมที่เสริมกันได้
          “ในแง่ TMA เราไม่ได้ถนัดหรือเน้นแค่ด้านธุรกิจ ทำกำไรขาดทุน เราต้องการสร้างคนเหมือนกัน ให้เป็นคนมีคุณภาพต่อสังคมหรือในองค์กรตัวเอง ก็มีเรื่อง CSR ผมคิดว่าทุกวันนี้นักศึกษาหรือบัณฑิตใหม่ที่ออกไปทำงาน เคยทำโครงการช่วยสังคมสมัยเรียนอยู่ ประสบการณ์อาจน้อยหรือโอกาสใช้ความคิดอ่านมีน้อย เพราะทำในช่วงปิดภาคเรียน และแข่งกันเรียนหนังสือ  ในเมื่อนักศึกษาใกล้ออกมาสู่สังคมภายนอก  ทำไมไม่พยายามผลักดันหรือจุดชนวนความคิดริเริ่มสำนึกเหล่านี้ในตัวนักศึกษา ให้แตกกระจาย โดยเขาได้ใช้ความคิดอ่านที่กำลังศึกษาเล่าเรียนคิดถึงเรื่องนี้ แล้วจะปลูกสำนึกอยู่กับตัวเขาตลอดไป”  
          “ทุกวันนี้ถ้าคิดกำไรขาดทุน หรือเอาชนะกันอย่างเดียว สังคมค่อนข้างรักษาสมดุลลำบาก Corporate Citizen หรือการเป็นส่วนหนึ่งในสังคมที่ดี แม้ว่าในธุรกิจเอง จิตสำนึกสาธารณะควรมีทุกคน ไม่มากก็น้อย เราต้องเริ่มปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ TMA คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งดีที่หันมาทำโครงการนี้  ไม่ใช่ไม่มีคนทำ มีแต่ไม่มากเท่าหากำไรขาดทุน”
          จากการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินโครงการเมื่อปีที่ผ่านมา คุณวิชัยมีข้อเสนอแนะว่าหลายโครงการน่าสนใจ แต่ยังมีด้านมืด เช่น การใช้ทรัพยากรของชาติที่ไม่คุ้มค่า การละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือกระทบสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว
           “โจทย์ที่ให้ประมาณว่าทำ อย่างไรให้ธุรกิจฟื้นตัว คุณไปทำต้องดูหน่อยว่าสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร หรือกำลังปลูกฝังกำไรขาดทุนโดยไม่ได้คิดถึงคุณค่าเชิงสังคม ถ้าอย่างนั้นเราน่าจะนำมิติเหล่านี้มาพูดคุยและปลูกฝังกันไป ด้วยกิจกรรมช่วยเหลือสังคมควบคู่ธุรกิจ เป็นโมเดลที่ยั่งยืนได้” 

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100802143435
          CSR เป็นหน้าที่ของคนในสังคม          
           การแบ่งปันในเชิงธุรกิจไม่จำเป็นที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ผลักดันฝ่าย เดียว พนักงานสามารถริเริ่ม และดึงดูดความสนใจตามลำดับชั้นจนเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนได้
          “เราอยู่องค์กรใหญ่ที่มีประสบการณ์ สำหรับเราละทิ้งไม่ได้ CSR ไม่ใช่เรื่องที่หวังประโยชน์ทางตรงทางอ้อมในแง่กำไรขาดทุน ไม่สามารถคิดว่าเป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย แต่เป็นหน้าที่คนในสังคม ตราบใดที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ ต่างคนต่างทำ คล้ายกันบ้าง ต่างกันบ้าง ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่มีใครทำ ช่วยกันทำคนละนิดละหน่อย อย่าคิดว่าเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ถ้ามีประชากรที่ได้ประโยชน์หรือผลพลอยได้จากสิ่งที่องค์กรต่าง ๆ ร่วมกันทำ”
ไม่ ว่าเศรษฐีหรือคนที่มีทรัพย์อันจำกัดทำ CSR ไม่ว่าจะมีเงินหนึ่งล้านบาทหรือร้อยล้านบาท เป้าหมายคือทำอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
          “เราไม่อยากปลูกฝังว่า เขียนเช็คเปล่าหนึ่งใบ ไม่ใส่ตัวเลข แล้วผลาญได้ ทุกอย่างมีมิติ ขั้นตอน วิธีการทำ ถ้าคุณทำ CSR เพื่อประชาสัมพันธ์ ออกทีวีทุกวันว่าคุณปลูกป่า ทำน้ำใส ทั้งที่เงินประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนรู้หรือเข้าถึงควรเป็นส่วนน้อย ควรใช้วิธีอื่นในการขยายวงคนมีส่วนร่วม และนำเงินกลับไปทำประโยชน์ที่ต้นสาย”
          ในฐานะองค์กร มีทุน มีส่วนกำไรที่หาได้ ทำอย่างไรจึงจะช่วยคนขาดแคลน สร้างเสริมภูมิที่เขาขาด คนมีต้องปัน ไม่ใช่ให้ทาน ปันในที่นี้อยากเห็นคนประสบความสำเร็จ อยู่ดีกินดี มีความก้าวหน้าเหมือนฉัน ไม่ใช่เอาเงินไปให้ สิ่งที่เราประสบความสำเร็จมาได้ บางอย่างมาจากการขวนขวาย ดิ้นรน เขาขาดอะไรในเรื่องความรู้ อยู่ในที่กันดาร หรือให้โอกาสเข้ามาฝึกงาน รับคนพิการเข้ามาทำงาน
          “สังคมไทย เริ่มมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น take not give การให้ การปันน้อย ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ กลัวโดนหลอก ทุกวันนี้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่ความกลัว”
          การปลูกฝัง CSR เริ่มต้นได้สองทางคือ คนส่วนมากที่เป็นพนักงาน (bottom up) และผู้บริหาร (top management) ที่คิดว่าการช่วยเหลือสังคมมีประโยชน์
          “ในระดับ bottom up พนักงานมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนั้นจนกลายเป็นการแพร่ขยายมาถึงระดับบน และผู้บริหารปฏิเสธไม่ได้ หรือเห็นดีเห็นงามด้วย CSR ที่ประสบความสำเร็จ ต้องเป็นโครงการที่พนักงาน ผู้บริหารในระดับต่าง ๆ เจ้าหน้าที่บริษัททุกคนมีความรู้สึกผูกพัน มีส่วนร่วมในสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นผลงานของเขา เช่น โครงการเล็ก ๆ ประเภทปีละครั้ง ช่วยคนชรา บ้านเด็กกำพร้า ก็เป็นการแบ่งปันชนิดหนึ่ง”
          คำตอบของการทำ CSR ในความหมายของคุณวิชัย ในฐานะคนในสังคมไม่จำเป็นต้องรวย หากการตอบแทนสังคม ช่วยเหลือผู้ที่ขาดโอกาส ไม่ว่ามากหรือน้อย ทุกคนทำได้ และการให้ยังส่งผลถึงการลดช่องว่าง ลดความแตกแยกที่เกิดจากการเอาเปรียบหรือแย่งชิง โดยไม่คิดถึงคนอื่น
          เป็นความภูมิใจลึก ๆ ของพนักงานในองค์กรที่ทำ CSR เพื่อสังคม  “ผมจินตนาการว่าสมมติเราอยู่ในองค์กรที่ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ เวลาไปเป็นป้ายหรือโครงการในทีวี อาจมีภาพลบ ทำไมบริษัทเราไม่ทำ ไม่เกิดความรู้สึกที่ดีต่อองค์กร”

          วางแผน CSR ด้วยบทบาทผู้นำธุรกิจ          
          โครงการในปีนี้แตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมา นักศึกษาต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าจะทำประโยชน์ต่อเนื่องอย่างไรให้ยั่งยืน
          “ความสำเร็จคงไม่ได้เกิดขึ้นเปรี้ยงเดียว ต้องใช้เวลา แล้วทำให้ยั่งยืน คุณจบไปแล้ว โครงการยังอยู่ไหม จะทำอย่างไรที่จะขายความคิดให้คนเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องซื้อ”
          คุณวิชัยคาดหวังว่าระยะเวลาโครงการ 2-3 เดือน จะช่วยกระตุ้นต่อมให้ผู้ร่วมโครงการคิดถึงคนในสังคมที่แวดล้อมตนเอง ด้วยบทบาทการเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรธุรกิจหรือสังคมที่ผลักดันให้เกิดค่านิยม และจิตสำนึกที่ทุกคนควรคำนึง
          “ไม่มีสถาบันไหนมีวิชา CSR มีแต่กิจกรรมภาคฤดูร้อน ไปช่วยทาสี สร้างบ้าน สอนหนังสือ จึงเป็นอีกแนวคิดที่ต้องเริ่มเข้าไปอยู่ในกระบวนการสอน วันนี้ตอบได้ชัด ๆ เหมือนเป็นแรงผลักดันในโลกทั้งใบที่เรียกร้องให้ประชาชนหรือมนุษยชนหันมา สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง มองไปมองหาเห็นแต่คนเห็นแก่ได้ เริ่มเป็นบ่อเกิดความขัดแย้ง ทำให้มนุษย์แยกเป็นก๊กเหล่า”
          “เวลาทำแผนธุรกิจ คุณไม่ได้ทำในฐานะเจ้าหน้าที่บริษัท ถ้าเป็นผู้นำจะทำ CSR องค์กรอย่างไร คิดใช้เงิน  ต้องคิดหาเงินด้วย การให้ในเชิงแบ่งปันในสังคม เริ่มได้ตั้งแต่จำนวนน้อย ๆ และการให้ไม่เคยขาดทุน ถ้าโครงการดี มีคนชื่นชมก็สามารถเรี่ยไรเงินส่วนหนึ่งไปริเริ่มโครงการ”
          “นักธุรกิจรุ่นใหม่มีแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ดี กระตือรือร้น มีเทคนิคค้นคว้าหาคำตอบที่ดี การศึกษาส่วนหนึ่งทำให้เขามองโลกกว้างขึ้น โตขึ้นมาด้วยประสบการณ์ที่ได้สัมผัสชีวิตจริงในสังคม เราเหมือนสารเร่งปฏิกิริยา การที่เขามีโอกาสเอาความคิดที่อาจยังเป็นเมล็ด เข้าสู่สภาวะแวดล้อมทำให้โต ผลิเป็นลำต้นอ่อน มีใบ เริ่มสังเคราะห์แสง อย่างน้อยได้หายใจเอาออกซิเจนบนผิวโลก  เราไม่ได้ทำให้เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุด แต่เขาไม่กลัวสิ่งที่ต้องเผชิญในโลกธุรกิจ กล้าคิด กล้านำเสนอ” 

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100802143435
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น