ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Chnicke Nuggets By Pui นักเกตไก่ ธุรกิจใหม่ที่น่าจับตามอง

คุ้น เคยกันเป็นอย่างดีในบทบาทพิธีกรมากความสามารถจากรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงทาง ไทยทีวีสีช่อง 3 และผลงานทั้งภาพยนตร์ ละครและอีกหลายกิจกรรมที่ทำให้เรารู้จักเธอ และล่าสุดกับบทบาทใหม่ คือการนั่งแท่นผู้บริหารธุรกิจแฟรนไชน์นักเกตไก่ ภายใต้ชื่อ Chicken Nuggets By P

  
          คุณปุ้ยเล่าให้ฟังว่าการที่หันมาสนใจธุรกิจนักเกตไก่เป็นเพราะลูกชายชอบทาน นักเกตไก่  และทุกคนในบ้านก็ชอบทาน ประกอบกับคุณปุ้ยและสามีมีโอกาสได้รู้จักบริษัททำนักเกตไก่ส่งออก ได้ทดลองชิมก็เลยสนใจขอเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย
          นั่นคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจประกอบกับคุณปุ้ยทำงานในวงการบันเทิง ก็ทำให้ธุรกิจนักเกตไก่แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วขยายสาขาขึ้นมามากโดยใช้เวลา ไม่นาน ซึ่งไม่ใช่แค่ชื่อเสียงของคุณปุ้ยเท่านั้นที่ทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นมาได้ แต่รสชาติและกรรมวิธีทอดการปรุงรสต่างๆ ของนักเกตเอง ก็มีผลไม่น้อยเหมือนกัน เพราะถ้าของไม่ดีไม่อร่อย คนก็คงจะทานไม่กี่ครั้งแล้วก็คงไม่ทานอีก แต่การตอบรับของตลาดก็ยังดีและขยายสาขาไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็คงการันตีได้ถึงคุณภาพของนักเกตได้แล้วว่ามีคุณภาพแค่ไหน


          นอกจากนั้นกรรมวิธีการผลิตก็สำคัญ การคัดเลือกนักเกตคุณภาพดี สะอาด ปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทอดไม่ให้อมน้ำมันเพื่อสุขภาพผู้บริโภค เพิ่มความอร่อยด้วยซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศ นักเกตฉ่ำซอสบวกกับความนุ่มของเนื้อไก่ การทอดให้หอมกรุ่นกรอบนอกนุ่มในลักษณะพิเศษของนักเกตไก่ บายคุณปุ้ย ทำให้หลายคนติดใจในรสชาติและบอกต่อความอร่อยกันปากต่อปาก
           นอกจากนั้นคุณปุ้ยยังขยายโอกาสทางธุกิจให้กับคนที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือนักศึกษาที่ต้องการสร้างรายได้พอเศษก็สามารถ เข้าร่ามธุรกิจได้ ซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจได้ที่ (02) 946-1494 (086) 078-9333 ไม่สนใจธุรกิจแต่อยากอุดหนุนก็สามารถโทรสั่งได้ เพราะมีบริการ เดลิเวอร์รี่ส่งฟรีถึงบ้าน

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100823173809 

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิสุทธิ พรนิมิต ศิลปินแห่งโลกศิลปะการ์ตูน


ตั้ม-วิสุทธิ พรนิมิต

          “จริง ๆ การวาดรูปไม่ถือเป็นงานที่ใฝ่ฝัน  เพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในเมืองไทย”  คำกล่าวแรกของหนุ่มตั้ม ซึ่งแรงจูงใจในการวาดการ์ตูนของชายผู้นี้เริ่มต้นมาจากนิสัยรักการอ่าน หนังสือการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก  แนวที่อ่านจะเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น หรือขายหัวเราะ แล้วค่อย ๆ พัฒนามาเป็นการวาดตามต้นฉบับ วาดเล่น ๆ  วาดให้เพื่อนอ่านมาเรื่อย ๆ โดยมิได้ตั้งใจว่าจะมาเป็นนักเขียนการ์ตูนมืออาชีพอย่างทุกวันนี้
          จุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นนักเขียนการ์ตูนนั้น หนุ่มตั้มบอกว่า เริ่มจากการนำผลงานไปนำเสนอให้กับนิตยสาร Katch แห่งค่ายเพลง Bakery Music โดยมีบอย-โกสิยพงศ์  เป็นผู้ตั้งสำนักพิมพ์แห่งนี้  “ผลงานที่นำไปเสนอตอนนั้น ผมทำเป็นเรื่องสั้นหลาย ๆ เรื่อง ถือเป็นผลงานชิ้นแรกที่นำไอเดียไปเสนอคนภายนอกที่ไม่ใช่กลุ่มเพื่อน พอเห็นหนังสือ Katch  ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการ์ตูนอยู่ด้วย  ก็คิดว่าน่าจะลองเอาผลงานไปทิ้งไว้เผื่อจะได้ลงตีพิมพ์”

          นักเขียนการ์ตูนส่วนใหญ่จะเคยผ่านเวทีการประกวดวาดภาพมาบ้าง แต่สำหรับหนุ่มคนนี้กลับไม่ได้ใช้เส้นทางนั้นเลย “เคยมีความคิดที่จะส่งผลงานของตัวเองเข้าประกวดในหลาย ๆ เวที แต่ก็ไม่เคยทำทันสักที จนเลิกความคิดพวกนั้นไป”  นั่นเป็นประโยคบอกเล่า ก่อนที่หนุ่มตั้มจะส่งผลงานชิ้นแรกที่วาดขึ้นในสมัยเรียนไปที่นิตยสาร Katch 
          แต่อาจจะด้วยลายเส้นที่สร้างสรรค์มากับมือ หรือจะเป็นเพราะโชคช่วยก็ตามที แต่ผลงานของเขาก็ได้ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Katch และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำงานเป็นนักเขียนการ์ตูน
          “ผลงานได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร Katch  เป็นเล่มแรก จากนั้นก็ได้ตีพิมพ์ลงใน Manga Katch ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์เดียวกัน มีผลงานออกไปได้ประมาณ 2 ปี ก็มีนิตยสารชื่อดังอย่าง Aday  ติดต่อเข้ามา แล้วก็เขียนให้ Aday มาตลอด รวมระยะเวลาในการทำงานให้กับนิตยสารในประเทศไทยประมาณ 5 ปี
          หลัง ๆ เริ่มมีความคิดที่จะลองไปค้นหาตัวเองที่ประเทศญี่ปุ่นดู ตอนเรียนจบใหม่ ๆ คิดว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศที่ไหนสักแห่ง ก็มานั่งคิดว่าจะเรียนอะไรดี เพราะเป็นคนเรียนไม่เก่ง ถ้าเรียนต่อด้านการวาดการ์ตูนก็สอบตกอยู่ดี เพราะเป็นคนที่มีความคิดไม่เหมือนกับอาจารย์ตลอด  สรุปว่าไม่ต้องไปเรียนอะไรเลย เรียนแค่ภาษาก็พอ  แค่ใช้ชีวิตและสื่อสารกับผู้คนได้เป็น พอ                                                                                                 
         

          ใช้ชีวิตและทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นประมาณ 3 ปี เรียนภาษาปีครึ่ง  ช่วงนั้นมีงานเข้ามาให้ทำเรื่อย ๆ เพราะเอาผลงานที่เคยทำในเมืองไทยทั้งหมดซึ่งมีการ์ตูน 10 เล่ม เอามาแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น และทำ Animation ใส่  Subtitle ภาษาญี่ปุ่น แล้วจัดงานแสดงการ์ตูนตามร้านอาหาร ที่เปิดให้คนมาเช่าพื้นที่เพื่อโชว์ผลงานโดยเฉพาะ
          ช่วงแรกฉาย Animation พร้อมกับแจกใบปลิวไปด้วยเผื่อคนที่สนใจจะแวะเข้ามาดูงานและให้กำลังใจเรา  ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี  อาจเป็นเพราะงานที่จัดแสดงไม่ได้ใหญ่โตอะไร จัดในร้านเล็ก ๆ มีคนดูประมาณ 60-70 คน  เก็บค่าเข้าชมคนละประมาณ 500 บาท
          ขณะเดียวกันก็พยายามเอาผลงานที่มีอยู่มาแปลแล้วพิมพ์เอง  วางหน้าเคาน์เตอร์เวลามีโชว์ผลงาน เผื่อคนเดินผ่านไปผ่านมาสนใจแวะมาเปิดอ่านดู แล้วซื้อไปคนละเล่ม  สองเล่ม ขายเล่มละ 300 บาท พิมพ์เองเลยพอจะได้กำไรอยู่บ้าง” 


          การค้นหาตัวตนของหนุ่มตั้มในระยะเวลา 3 ปีที่ญี่ปุ่น หล่อหลอมให้ฝีมือและสไตล์ในการสร้างสรรค์งานมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น  “สิ่งที่ทำให้คิดได้คือ งานที่ดีจะออกมาจากสังคมที่อยู่   ออกมาจากชีวิตที่เราอยู่ แม้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ผลงานต้องออกมาเป็นการเล่าเรื่องจากยุคสมัยนั้น สิ่งแวดล้อมที่อยู่ตรงนั้น นิสัยจริง ๆ ที่เป็นอยู่ตอนนั้น หรือแนวความคิดที่มีต่อสังคมต่อชีวิตในเวลานั้น
          ถ้าเรานำเสนอออกมาตรง ๆ จะทำให้เนื้อหามีความน่าสนใจยิ่งขึ้น พอคนได้อ่านจะรับรู้ประสบการณ์และเริ่มมีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน  งานของผมที่ทำส่วนใหญ่จะเป็นงานวาดภาพประกอบคอลัมน์ต่าง ๆ ในนิตยสาร เช่น วาดปกนิตยสาร พอรู้ตัวว่างานที่ดีต้องออกมาจากสังคมที่ดี ก็มีความคิดอยากจะกลับเมืองไทย” 

          ไอเดียในการสร้างสรรค์งานการ์ตูนของผู้ชายคนนี้ ส่วนใหญ่จะได้มาจากการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป “ต้องบอกว่ามันเหมือนกับประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัว พอไปชนกับเหตุการณ์ข้างนอกจะเกิดข้อความบางอย่างขึ้นมา แต่จะมีกระบวนการคิดที่แตกต่างและมากกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดไอเดีย หรือข้อความต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมา
          พอมีไอเดียหลาย ๆ ก้อนมาปะทะกันก็จะเกิดเป็น Story และเกิดการเปรียบเทียบที่มีรสชาติขึ้นมา จากนั้นจะใช้การสังเกตและรวบรวมนำมาให้ผู้อ่านได้อ่านกันอย่างจุใจ  ฉะนั้น เวลาคิดไอเดียจะมีเข้ามาในสมองตลอดเวลา แต่เรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ตลอดทั้งชีวิต เพราะเป็นสิ่งที่จะถับถมกันจนกลายเป็นความรู้ของตัวเอง แต่เวลาจะใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในหัวนำออกมาทำงานนั้นจะใช้เวลาเพียงนิดเดียว
          ผมไม่ใช่คนวาดรูปสวยมาก แค่วาดพอที่จะสื่อสารให้คนอ่านรู้เรื่องได้  บางทีถ้าวาดในเรื่องที่ละเอียดมาก ๆ  ต้องทำวันละหน้า นั่นคืออย่างช้าสุด แต่ถ้าเร็วสุดจะวาดได้วันละ 20 หน้า แต่วันละ 20 ไม่ใช่ว่า 2 วันจะได้ 40 หน้า วันต่อมาอาจจะเหนื่อยและขี้เกียจ กลายเป็นไม่ทำอะไรเลย  ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในตอนนั้น”

          สไตล์การวาดภาพของหนุ่มตั้มล้วนเป็นที่น่าสนใจและนิยมชมชอบของเหล่าบรรดา สาวกการ์ตูนเป็นอย่างมาก และเรื่องแรกที่สร้างความฮือฮามากก็คือ he she it (ฮีชีอิท) เพราะเป็นผลงานที่บ่งบอกความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผู้เขียน เพื่อต้องการสะท้อนตัวตนออกมาให้ได้มากที่สุด จึงทำให้มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักใน การ์ตูนชุดนี้
          “การ์ตูนชุดนี้เป็นการวาดขึ้นมาก่อนที่จะเป็นนักวาดการ์ตูนมืออาชีพ จึงอยากคงความเป็นต้นฉบับที่ต้องการจะเขียนไว้อ่านเอง เลยไม่มีการลบหรือแก้ไขในสิ่งที่วาดผิดพลาดใด ๆ ทั้งสิ้น อยากรู้ว่าตอนนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง  สิ่งสำคัญคือ อยากบันทึกช่วงเวลานั้นไว้ทั้งหมด ว่าตอนนั้นเป็นคนอย่างไร  วาดรูปได้แค่ไหน คิดอะไร เขียนอะไรผิดไปบ้าง

          ทั้งหมดที่ทำไปคือการบันทึกเท่านั้นเอง จะสนุกหรือไม่นั้นไม่ได้คิดเลย  เขียนเพื่อว่ากลับมาอ่านอีก 10 ปีข้างหน้าจะนึกออกเลยว่าเคยเป็นคนอย่างไร นี่คือ he she it  แต่พอต้องมารับงานที่มีนายจ้างเป็นตัวกำหนดชิ้นงาน ซึ่งไม่ใช่ตัวเราสั่ง บางครั้งก็ต้องลด Ego ของตัวเองลงมาบ้าง ต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับคนอื่น เพราะตอนนี้ไม่ได้ทำงานตามใจชอบแล้ว
          มีหลักการที่ต้องมานั่งคุยกันแล้วตกลงคนละครึ่งทาง คือทางผู้จ้างต้องรู้อยู่แล้วว่าผู้วาดมีพื้นฐานอย่างไร และวาดการ์ตูนแนวไหน ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากในการจูนเข้าหากัน และไม่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างการว่าจ้างในการวาดภาพงานต่าง ๆ นี่คือหลักง่าย ๆ ที่ใช้อยู่ในชีวิตการทำงาน”
          เมื่อถามถึงแผนงานในอนาคต ศิลปินคิดต่างคนนี้บอกว่า “เป็นคนที่ไม่เคยวางแผนอะไรในชีวิต และไม่มีแผนด้วย ตอนนี้ใครจ้างอะไรมาก็ทำ ถ้าวันหนึ่งไม่มีใครจ้างแล้วถึงจะเริ่มคิดงานของตัวเอง และจะทำให้มีคนกลับมาจ้างอีกครั้ง เพราะคิดว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีงานก็ไม่เป็นไร  หาอาชีพอื่นทำก็ได้ แต่ส่วนตัวคิดว่างานเขียนการ์ตูนยังอยู่ได้อีกนาน เหมือนแรงที่เหวี่ยงออกไปยังไงคนก็ยังคงตอบกลับมา  ปัจจัยอีกอย่างที่ทำให้การ์ตูนไม่มีวันตาย คือ ช่องทางในการสื่อสารจากการ์ตูนมีเยอะมาก สามารถนำไปสอดแทรกได้ในสื่อต่าง ๆ” 

          ต่อคำถามที่ว่า จำเป็นหรือไม่ว่าต้องเรียนด้านการวาดรูปมา จึงจะเป็นนักวาดภาพการ์ตูนมืออาชีพได้  หนุ่มตั้มบอกว่า “ไม่จำเป็นต้องเรียนมา แต่ควรจะมีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่ก่อนผมวาดรูปแย่มาก  มีแต่คนด่าว่าวาดไม่สวย วาดอะไรดูไม่รู้เรื่อง แต่จำไว้เลยว่าการวาดการ์ตูนจะไม่มีวันแย่ลง ถ้าเราฝึกฝนวาดอยู่บ่อยๆ  ขึ้นอยู่กับความขยัน
          ไม่เหมือนเรื่องของจิตใจที่ตอนแรกเป็นคนดีอยู่ แต่ถูกชักนำกลายเป็นคนชั่วไปได้ แต่การวาดรูปนั้น วาดอย่างไรก็เก่งขึ้น เพราะเป็นเรื่องของทักษะและประสบการณ์  ที่สำคัญต้องมีวงเล็บที่น่าสนใจด้วย เพื่อที่จะสื่อสารกับคนอ่านได้เข้าใจมากขึ้น บวกกับวิธีการที่นักวาดการ์ตูนแต่ละคนพยายามถ่ายถอดข้อความเหล่านั้นออกมา ได้อย่างชัดเจน เพียงเท่านี้ผลงานของคุณก็จะประสบความสำเร็จ”
          ใครที่เป็นแฟนผลงานของนักเขียนการ์ตูนคนนี้ สามารถติดตามได้ในนิตยสาร Aday  เรื่อง  “he she it”  เป็นประจำทุกเดือน โดยมีตัวการ์ตูนเด่นที่ชื่อ “เด็กหญิงมะม่วง”  เป็นคาเรกเตอร์หลัก  ปัจจุบันตีพิมพ์ออกมาแล้ว 11 เล่ม  แต่ถ้าใครชื่นชอบโลกอินเทอร์เน็ตก็สามารถเข้าไปดูผลงาน Animation ฝีมือของหนุ่มคนนี้ได้ 

          ล่าสุดสำหรับผลงานหนังสือการ์ตูนเรื่อง “ชิงช้า” ที่วางจำหน่ายแล้วที่ประเทศญี่ปุ่น สำหรับในประเทศไทยสาวกการ์ตูนสามารถหาอ่านได้เป็นประจำที่นิตยสาร Mud ของสำนักพิมพ์ใต้ฝุ่น  และอีกผลงานที่ตีพิมพ์และจำหน่ายอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นคือ การ์ตูนเรื่อง Ikki , Everybody everything  ควันใต้หมวก
          ก่อนจบการสนทนาหนุ่มตั้ม ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้ว่า “คนเราต้องรู้จักหลีกเลี่ยง ถ้านี่คือกำแพง ตัวเราอยู่หลังกำแพงด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งคือนักเขียนที่รวยแล้ว แล้วเราจะเดินทะลุกำแพงไปอีกฝั่ง มันก็เป็นไปไม่ได้  บางครั้งต้องยอมรับความจริงว่าเราข้ามไปไม่ได้  แต่ถ้าเราขี้เกียจทุบกำแพง ก็หาทางอื่นเดินอ้อมไปยังอีกฝาก โดยที่เราไม่เจ็บตัวดีกว่า  แค่เปลี่ยนจุดหมายแต่ก็สามารถข้ามไปฝั่งได้เหมือนกัน” 
          ขอขอบคุณร้านวู้ดสต๊อค ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้  ผู้สนใจสามารถแวะไปชิมไปชมบรรยากาศได้ทุกวัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
www.woodstockbangkok.net หรือโทร.08-9448-0091

http://www.ejobeasy.com/jobnewstudetailcarrer.php?n=100823145610 

วิชัย เบญจรงคกุล ถึงเวลาแบ่งปันเพื่อสังคม


Bookmark and Share
CSR ไม่ใช่เรื่องที่หวังประโยชน์ในแง่กำไรขาดทุน ไม่ใช่เรื่องของค่าใช้จ่าย แต่เป็นหน้าที่คนในสังคม

  
          เมื่อ ได้ขยับจากเก้าอี้คณะกรรมการขึ้นมานั่งในตำแหน่งประธานโครงการมอบทุนการ ศึกษาแก่นิสิต นักศึกษา โดยมูลนิธิยุทธสาร ณ นคร เพื่อสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย คุณวิชัย เบญจรงคกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบญจจินดา โฮลดิ้ง จำกัด ไม่รอให้ตกยุค จึงได้ดึงเรื่อง CSR ขึ้นมาเป็นหัวข้อการประกวดชิงทุนในปีนี้
          CSR (Corporate Social Responsibility) สำหรับองค์กร “เบญจจินดา” ไม่ใช่เรื่องใหม่ และแนวคิดนี้ได้ถูกปลูกจิตสำนึกในการทำธุรกิจของกลุ่มบริษัทเบญจจินดา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบริการวงจรสื่อสัญญาณข้อมูลและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ธุรกิจติดตั้งและบำรุงรักษาระบบสื่อสารโทรคมนาคมสารสนเทศ ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย หรือธุรกิจบริการข้อมูลข่าวสารและการศึกษาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
          ดังจะเห็นได้จากเอกลักษณ์ที่ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ หนึ่งในนั้นคือการปันสู่สังคม นอกเหนือจากกล้านำ ทำได้ เชี่ยวชาญ และขยันรู้  โดยเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมมูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิด ด้วยการมอบทุนให้เยาวชนมีความรู้กลับไปพัฒนาบ้านเกิดตนเอง
          โครงการมอบทุนการศึกษาฯ โดยมูลนิธิยุทธสาร ณ นคร เพื่อสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย ช่วงที่ผ่านมา มุ่งแข่งขันด้านการคิดแผนธุรกิจเป็นหลัก แต่ปีที่ 7 นี้ เน้นการสร้างต้นแบบนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม มากกว่าการหากำไรขาดทุน ในระดับนิสิต นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปี 2 ขึ้นไป ภายใต้โครงการ “สร้างสรรค์สังคมที่เป็นสุขกับ TMA” ที่มีมูลค่าทุนการศึกษารวมกว่า 5 แสนบาท 
          ทีมที่ได้รับคะแนนสูงสุด 3 ทีมสุดท้าย จะได้รับเงิน 50,000 บาท เพื่อนำแนวคิดไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ และทีมที่ชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษา 150,000 บาท

          CSR มีอะไรที่มากกว่ากำไรขาดทุน          
           เนื่องจาก TMA (สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย) เป็นสถาบันที่ให้ความรู้ด้านธุรกิจ การสร้างคนให้มีประสิทธิภาพและความสามารถ โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าร่วมโครงการ คิดแผนและต่อยอดธุรกิจ ซึ่งทุนประเภทนี้มีหลายหน่วยงานให้ความสนใจและจัดขึ้น ขณะที่คุณวิชัยมีมุมมองว่าเมื่ออยู่ในสังคมไทย ไม่จำเป็นต้องแย่งกันทำความดี ในทางกลับกันสามารถหาแง่มุมที่เสริมกันได้
          “ในแง่ TMA เราไม่ได้ถนัดหรือเน้นแค่ด้านธุรกิจ ทำกำไรขาดทุน เราต้องการสร้างคนเหมือนกัน ให้เป็นคนมีคุณภาพต่อสังคมหรือในองค์กรตัวเอง ก็มีเรื่อง CSR ผมคิดว่าทุกวันนี้นักศึกษาหรือบัณฑิตใหม่ที่ออกไปทำงาน เคยทำโครงการช่วยสังคมสมัยเรียนอยู่ ประสบการณ์อาจน้อยหรือโอกาสใช้ความคิดอ่านมีน้อย เพราะทำในช่วงปิดภาคเรียน และแข่งกันเรียนหนังสือ  ในเมื่อนักศึกษาใกล้ออกมาสู่สังคมภายนอก  ทำไมไม่พยายามผลักดันหรือจุดชนวนความคิดริเริ่มสำนึกเหล่านี้ในตัวนักศึกษา ให้แตกกระจาย โดยเขาได้ใช้ความคิดอ่านที่กำลังศึกษาเล่าเรียนคิดถึงเรื่องนี้ แล้วจะปลูกสำนึกอยู่กับตัวเขาตลอดไป”  
          “ทุกวันนี้ถ้าคิดกำไรขาดทุน หรือเอาชนะกันอย่างเดียว สังคมค่อนข้างรักษาสมดุลลำบาก Corporate Citizen หรือการเป็นส่วนหนึ่งในสังคมที่ดี แม้ว่าในธุรกิจเอง จิตสำนึกสาธารณะควรมีทุกคน ไม่มากก็น้อย เราต้องเริ่มปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ TMA คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งดีที่หันมาทำโครงการนี้  ไม่ใช่ไม่มีคนทำ มีแต่ไม่มากเท่าหากำไรขาดทุน”
          จากการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินโครงการเมื่อปีที่ผ่านมา คุณวิชัยมีข้อเสนอแนะว่าหลายโครงการน่าสนใจ แต่ยังมีด้านมืด เช่น การใช้ทรัพยากรของชาติที่ไม่คุ้มค่า การละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือกระทบสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว
           “โจทย์ที่ให้ประมาณว่าทำ อย่างไรให้ธุรกิจฟื้นตัว คุณไปทำต้องดูหน่อยว่าสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร หรือกำลังปลูกฝังกำไรขาดทุนโดยไม่ได้คิดถึงคุณค่าเชิงสังคม ถ้าอย่างนั้นเราน่าจะนำมิติเหล่านี้มาพูดคุยและปลูกฝังกันไป ด้วยกิจกรรมช่วยเหลือสังคมควบคู่ธุรกิจ เป็นโมเดลที่ยั่งยืนได้” 

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100802143435
          CSR เป็นหน้าที่ของคนในสังคม          
           การแบ่งปันในเชิงธุรกิจไม่จำเป็นที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ผลักดันฝ่าย เดียว พนักงานสามารถริเริ่ม และดึงดูดความสนใจตามลำดับชั้นจนเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนได้
          “เราอยู่องค์กรใหญ่ที่มีประสบการณ์ สำหรับเราละทิ้งไม่ได้ CSR ไม่ใช่เรื่องที่หวังประโยชน์ทางตรงทางอ้อมในแง่กำไรขาดทุน ไม่สามารถคิดว่าเป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย แต่เป็นหน้าที่คนในสังคม ตราบใดที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ ต่างคนต่างทำ คล้ายกันบ้าง ต่างกันบ้าง ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่มีใครทำ ช่วยกันทำคนละนิดละหน่อย อย่าคิดว่าเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ถ้ามีประชากรที่ได้ประโยชน์หรือผลพลอยได้จากสิ่งที่องค์กรต่าง ๆ ร่วมกันทำ”
ไม่ ว่าเศรษฐีหรือคนที่มีทรัพย์อันจำกัดทำ CSR ไม่ว่าจะมีเงินหนึ่งล้านบาทหรือร้อยล้านบาท เป้าหมายคือทำอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
          “เราไม่อยากปลูกฝังว่า เขียนเช็คเปล่าหนึ่งใบ ไม่ใส่ตัวเลข แล้วผลาญได้ ทุกอย่างมีมิติ ขั้นตอน วิธีการทำ ถ้าคุณทำ CSR เพื่อประชาสัมพันธ์ ออกทีวีทุกวันว่าคุณปลูกป่า ทำน้ำใส ทั้งที่เงินประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนรู้หรือเข้าถึงควรเป็นส่วนน้อย ควรใช้วิธีอื่นในการขยายวงคนมีส่วนร่วม และนำเงินกลับไปทำประโยชน์ที่ต้นสาย”
          ในฐานะองค์กร มีทุน มีส่วนกำไรที่หาได้ ทำอย่างไรจึงจะช่วยคนขาดแคลน สร้างเสริมภูมิที่เขาขาด คนมีต้องปัน ไม่ใช่ให้ทาน ปันในที่นี้อยากเห็นคนประสบความสำเร็จ อยู่ดีกินดี มีความก้าวหน้าเหมือนฉัน ไม่ใช่เอาเงินไปให้ สิ่งที่เราประสบความสำเร็จมาได้ บางอย่างมาจากการขวนขวาย ดิ้นรน เขาขาดอะไรในเรื่องความรู้ อยู่ในที่กันดาร หรือให้โอกาสเข้ามาฝึกงาน รับคนพิการเข้ามาทำงาน
          “สังคมไทย เริ่มมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น take not give การให้ การปันน้อย ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ กลัวโดนหลอก ทุกวันนี้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่ความกลัว”
          การปลูกฝัง CSR เริ่มต้นได้สองทางคือ คนส่วนมากที่เป็นพนักงาน (bottom up) และผู้บริหาร (top management) ที่คิดว่าการช่วยเหลือสังคมมีประโยชน์
          “ในระดับ bottom up พนักงานมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนั้นจนกลายเป็นการแพร่ขยายมาถึงระดับบน และผู้บริหารปฏิเสธไม่ได้ หรือเห็นดีเห็นงามด้วย CSR ที่ประสบความสำเร็จ ต้องเป็นโครงการที่พนักงาน ผู้บริหารในระดับต่าง ๆ เจ้าหน้าที่บริษัททุกคนมีความรู้สึกผูกพัน มีส่วนร่วมในสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นผลงานของเขา เช่น โครงการเล็ก ๆ ประเภทปีละครั้ง ช่วยคนชรา บ้านเด็กกำพร้า ก็เป็นการแบ่งปันชนิดหนึ่ง”
          คำตอบของการทำ CSR ในความหมายของคุณวิชัย ในฐานะคนในสังคมไม่จำเป็นต้องรวย หากการตอบแทนสังคม ช่วยเหลือผู้ที่ขาดโอกาส ไม่ว่ามากหรือน้อย ทุกคนทำได้ และการให้ยังส่งผลถึงการลดช่องว่าง ลดความแตกแยกที่เกิดจากการเอาเปรียบหรือแย่งชิง โดยไม่คิดถึงคนอื่น
          เป็นความภูมิใจลึก ๆ ของพนักงานในองค์กรที่ทำ CSR เพื่อสังคม  “ผมจินตนาการว่าสมมติเราอยู่ในองค์กรที่ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ เวลาไปเป็นป้ายหรือโครงการในทีวี อาจมีภาพลบ ทำไมบริษัทเราไม่ทำ ไม่เกิดความรู้สึกที่ดีต่อองค์กร”

          วางแผน CSR ด้วยบทบาทผู้นำธุรกิจ          
          โครงการในปีนี้แตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมา นักศึกษาต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าจะทำประโยชน์ต่อเนื่องอย่างไรให้ยั่งยืน
          “ความสำเร็จคงไม่ได้เกิดขึ้นเปรี้ยงเดียว ต้องใช้เวลา แล้วทำให้ยั่งยืน คุณจบไปแล้ว โครงการยังอยู่ไหม จะทำอย่างไรที่จะขายความคิดให้คนเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องซื้อ”
          คุณวิชัยคาดหวังว่าระยะเวลาโครงการ 2-3 เดือน จะช่วยกระตุ้นต่อมให้ผู้ร่วมโครงการคิดถึงคนในสังคมที่แวดล้อมตนเอง ด้วยบทบาทการเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรธุรกิจหรือสังคมที่ผลักดันให้เกิดค่านิยม และจิตสำนึกที่ทุกคนควรคำนึง
          “ไม่มีสถาบันไหนมีวิชา CSR มีแต่กิจกรรมภาคฤดูร้อน ไปช่วยทาสี สร้างบ้าน สอนหนังสือ จึงเป็นอีกแนวคิดที่ต้องเริ่มเข้าไปอยู่ในกระบวนการสอน วันนี้ตอบได้ชัด ๆ เหมือนเป็นแรงผลักดันในโลกทั้งใบที่เรียกร้องให้ประชาชนหรือมนุษยชนหันมา สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง มองไปมองหาเห็นแต่คนเห็นแก่ได้ เริ่มเป็นบ่อเกิดความขัดแย้ง ทำให้มนุษย์แยกเป็นก๊กเหล่า”
          “เวลาทำแผนธุรกิจ คุณไม่ได้ทำในฐานะเจ้าหน้าที่บริษัท ถ้าเป็นผู้นำจะทำ CSR องค์กรอย่างไร คิดใช้เงิน  ต้องคิดหาเงินด้วย การให้ในเชิงแบ่งปันในสังคม เริ่มได้ตั้งแต่จำนวนน้อย ๆ และการให้ไม่เคยขาดทุน ถ้าโครงการดี มีคนชื่นชมก็สามารถเรี่ยไรเงินส่วนหนึ่งไปริเริ่มโครงการ”
          “นักธุรกิจรุ่นใหม่มีแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ดี กระตือรือร้น มีเทคนิคค้นคว้าหาคำตอบที่ดี การศึกษาส่วนหนึ่งทำให้เขามองโลกกว้างขึ้น โตขึ้นมาด้วยประสบการณ์ที่ได้สัมผัสชีวิตจริงในสังคม เราเหมือนสารเร่งปฏิกิริยา การที่เขามีโอกาสเอาความคิดที่อาจยังเป็นเมล็ด เข้าสู่สภาวะแวดล้อมทำให้โต ผลิเป็นลำต้นอ่อน มีใบ เริ่มสังเคราะห์แสง อย่างน้อยได้หายใจเอาออกซิเจนบนผิวโลก  เราไม่ได้ทำให้เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุด แต่เขาไม่กลัวสิ่งที่ต้องเผชิญในโลกธุรกิจ กล้าคิด กล้านำเสนอ” 

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100802143435
 

Hy-pot...กระถางไฮบริด แนวคิดใหม่ปลูกต้นไม้คู่เลี้ยงปลา

Hy-pot กระถางไฮบริด สิ่งประดิษฐ์แนวคิดใหม่สร้างสรรค์โดย “เจริญชัย หงส์ถาวรสิริ”หรือ “เล็ก” จากการแก้ปัญหายุงวางไข่ตามแหล่งน้ำให้กลายมาเป็นธุรกิจ สร้างเป็นกระถางไฮบริดที่มากประโยชน์ เพิ่มความเก๋ไก๋ด้วยไอเดียแปลกใหม่ สามารถทำเป็นอา

  

เจริญชัย หงส์ถาวรสิริ หรือ “เล็ก
            
          “แนวคิดเริ่มแรกในการทำ hy-pot กระถางไฮบริด เกิดจากการมองเห็นปัญหาของยุงที่ชอบวางไข่ตามแหล่งน้ำ  จนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธ์ของลูกน้ำ  เลยเกิดความคิดว่า ถ้านำต้นไม้มาปลูกไว้ที่เดียวกับที่เลี้ยงปลา น้ำที่ใช้รดต้นไม้ก็จะทำประโยชน์ให้ปลาไปในตัว เลยกลายมาเป็น Hy-pot กระถางไฮบริด  กระถางที่ให้มุมมองแนวใหม่ สร้างความแตกต่างจากรูปแบบกระถางที่ใช้กันอยู่ทั่วไป” 
          กระถางไฮบริด (Hybrid Pot) คือ กระถางที่รวมการปลูกต้นไม้และเลี้ยงปลาไว้ด้วยกัน โดยมีพื้นที่ส่วนบนสำหรับปลูกต้นไม้และมีพื้นที่ด้านล่างสำหรับเลี้ยงปลา อาศัยหลักการบำบัดเชิงนิเวศน์ของการพึ่งพากันและกันระหว่างการปลูกต้นไม้และ เลี้ยงปลา 


         

          เมื่อรดน้ำต้นไม้  ท่อปั๊มน้ำจากส่วนที่เลี้ยงปลา จะดูดน้ำกลับขึ้นไปรดน้ำต้นไม้ด้านบน ซึ่งน้ำที่ดูดขึ้นไปนี้ ต้นไม้จะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะต้นไม้จะได้รับน้ำที่ผสมมูลปลาที่ปล่อยออกมากลายเป็นปุ๋ยอย่างดีแก่ ต้นไม้
          ส่วนน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาด้านล่างของกระถาง จะได้รับการบำบัดจากต้นไม้โดยการดูดซึมและการกรอง ด้วยการไหลผ่านชั้นหินภูเขาไฟที่ใช้เป็นวัสดุปลูกต้นไม้ และแผ่นใยกรองจากส่วนที่ปลูกต้นไม้ด้านบน ซึ่งระบบดังกล่าวจะหมุนเวียนเอื้อประโยชน์กันและกันภายในกระถาง จึงไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีใส่ในต้นไม้ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม 

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100727174014
          กระถางไฮบริด ประกอบด้วยพื้นที่ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ใช้ปลูกต้นไม้และส่วนที่เลี้ยงปลา สามารถยกถอด เพื่อแยกส่วนทั้งสองนี้ได้  จึงง่ายและสะดวกในการถอดล้างทำความสะอาด  สามารถปลูกได้ทั้งต้นไม้ในร่มและต้นไม้ที่ชอบแดด


          ปัจจุบัน hy-pot ออกผลิตภัณฑ์มา 2 รุ่น คือ hypot-clerar และ  hypot-nature ซึ่ง  hypot - clear โดดเด่นด้วยสไตล์งาน handmade ตัวกระถางไฮบริดทำด้วยแก้วเป่า ที่ต้องอาศัยทักษะฝีมือและความชำนาญในการเป่าของช่าง  รวมทั้งใช้งานเพ้นท์แก้วเข้ามาผสมผสาน ทำให้มีลวดลายที่งดงามปราณีต หลากหลายรูปแบบ 
          สำหรับ hypot - nature เป็นสไตล์ในแบบจำลองธรรมชาติของถ้ำปะการัง กระถาง hybrid ทำด้วยแก้วเป่าและมีบางส่วนทำจากเรซิ่น  ทำให้มีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการถอดล้างทำความสะอาด  ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 รุ่นราคาจำหน่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 1,300 บาท ไปจนถึงราคาประมาณ 3,000 กว่าบาท

 
          “จุดเด่นของ  hy-pot กระถางไฮบริด คือ เราเป็นผู้คิดริเริ่มรายแรก ซึ่งได้รับการจดอนุสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถอดล้างทำความสะอาดง่าย เป็นสินค้าที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเป็นธรรมชาติ และชอบตกแต่งบ้านเพื่อความสวยงาม” 
          สำหรับผู้ที่สนใจ  hypot  กระถางไฮบริด  (Hybrid Pot) สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  คุณเจริญชัย หงส์ถาวรสิริ  เลขที่  390  ถนนเทศบาลนิมิตเหนือ 30  แขวงลาดยาว เขตจตุจักร   กรุงเทพฯ 10900 โทร. 081-629-2470  หรือ

www.myhypot.com
   

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วรรณษา ทองวิเศษ ธุรกิจตัวใหม่สมุนไพรเพื่อความงาม



คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับดาราสาวเจ้าบทบาท คุณวรรณษา ทองวิเศษ วันนี้ผันตัวเองมาทำธุรกิจเครื่องสำอางจากสมุนไพรธรรมชาติ โดยเจ้าตัวบอกว่าเป็นคนที่ชอบเรื่องความงามและเครื่องสำอางมาแต่ไหนแต่ไร แล้ว พอมีโอกาสได้ค้นคว้าได้ศึกษาได้เรียนรู้ก็เลยคิดจะนำสิ่งที่ตัวเองได้

  

          คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับดาราสาวเจ้าบทบาท คุณวรรณษา ทองวิเศษ วันนี้ผันตัวเองมาทำธุรกิจเครื่องสำอางจากสมุนไพรธรรมชาติ โดยเจ้าตัวบอกว่าเป็นคนที่ชอบเรื่องความงามและเครื่องสำอางมาแต่ไหนแต่ไร แล้ว พอมีโอกาสได้ค้นคว้าได้ศึกษาได้เรียนรู้ก็เลยคิดจะนำสิ่งที่ตัวเองได้ร่ำ เรียนมาถ่ายทอดออกมาเป็นเครื่องสำอางสมุนไพรในแบรนด์ ‘Wannasa’
          หลัง จากที่ลงทุนไปเรียนทำเครื่องสำอางมาจากชมรมสมุนไพรและพรรณไม้ ศาลายา คุณษาก็ร่วมลงทุนกับอาจารย์ที่สอนในการคิดค้นผลิตเครื่องสำอางสมุนไพรเพื่อ สุขภาพ โดยมีเครื่องสำอางประเภทต่าง ๆ ครอบคลุมไปทั่วทั้งตัว อาทิ สครับข้าวโอ๊ต เป็นสูตรที่คุณษาเองใช้มาตั้งแต่เด็ก ก็เลยเอามาเผยแพร่ให้ทุกคนได้ใช้ ซึ่งสครับตัวนี้เป็นสครับธัญพืช มีส่วนผสมหลักของข้าวโอ๊ต ทานาคา และสมุนไพรอื่น ๆ อีกหลากหลาย ครั้งแรกที่ได้ใช้ก็จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงผิวจะเนียนเรียบอย่างเห็น ได้ชัด นอกจากนั้นก็จะมียาสมุนไพรรักษาสิว ฝ้า กระ, ครีมหน้าใส, ครีมกันแดดเนื้อซิลิโคน SPF 60, สครับน้ำนมข้าว, Micro collagen cream ฯลฯ

          ซึ่ง เครื่องสำอางแต่ละตัวจะผ่านการวิจัยอะไรหลายพิถีพิถัน ให้ความสำคัญเรื่องของความปลอดภัย การวิจัยค้นคว้า และควบคุมการผลิต เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบพืชสมุนไพรทุกอย่าง ต้องปลูกเองเพื่อควบคุมคุณภาพให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ควบคุมให้ได้คุณภาพสูง ๆ สุด มีการคำนวณสูตรและทดลองใช้ ถ้าเกิดว่าผลมันออกมาไม่ดี 50 -50 ก็จะไม่ปล่อยออกมา เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่า เครื่องสำอางทุกตัวที่ออกมาจำหน่ายในแบรนด์ ‘Wannasa’ รับประกันได้ว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์           ถ้า ใครสนใจสินค้าหรือคิดจะประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอางสมุนไพรสามารถสอบ ถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-6847-3337, 08-5400-5444 หรือ www.wannasabeautyandherbs.com
http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100817105856 

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อิ่ม หมี พี มันฯ บาย จั๊กจั่น

วันนี้ เราพาคุณมาถึงศูนย์การค้าลาวิลล่า พหลโยธิน ซ.6 เพราะเรามีนัดทานข้าวกับดาราสาวสุดสวยจั๊กจั่น-อคัมย์สิริ ที่ร้าน อิ่ม หมี พี มันฯ บาย จั๊กจั่น ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเป็นร้านของเธอเอง แค่ชื่อร้านก็ทำให้เราอิ่มอกอิ่มใจไปเกินครึ่ง

  
วันนี้ เราพาคุณมาถึงศูนย์การค้าลาวิลล่า พหลโยธิน ซ.6 เพราะเรามีนัดทานข้าวกับดาราสาวสุดสวยจั๊กจั่น-อคัมย์สิริ ที่ร้าน อิ่ม หมี พี มันฯ บาย จั๊กจั่น ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเป็นร้านของเธอเอง แค่ชื่อร้านก็ทำให้เราอิ่มอกอิ่มใจไปเกินครึ่ง 
แถมบรรยากาศของร้านสร้างความสดใสซาบซ่าตั้งแต่แรกเห็น ด้วยงานกราฟิตี้มันส์ ๆ  จากศิลปินป๊อปอาร์ตที่เรารู้จักกันดี อย่าง โอ๋ ฟูตอง และ P7 สร้างสรรค์งานกราฟิคลายการ์ตูนออกมาโลดแล่นท้าทายจินตนาการของนักชิม ไม่เพียงแค่นั้นเรื่องราวของกราฟิตี้ยังถูกส่งผ่านมาถึงเมนูร้าน จานรองแก้ว ผ้ากันเปื้อน ผนังภายในร้านของร้านสร้างความต่อเนื่องของอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
 
    นอกจากสไตล์การตกแต่งที่ไม่ซ้ำแบบใคร เรื่องรสชาติของอาหารก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะที่นี่ได้รวมเอาสุดยอดของเมนูเด็ดถึง 4 ร้านมาไว้ด้วยกัน อาทิ ร้าน อิ่ม หมี พี มัน ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือนาวา ร้าน Ice Aholic และร้านเค้กชื่อดังอย่าง Something Sweet เรียกได้ว่ามาที่นี่ที่เดียวทานอาหารได้ครบทุกสูตรความอร่อย ตั้งแต่ของคาวลากยาวไปถึงของหวานเลยทีเดียว
 http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100810142334
เมนู ขึ้นชื่อที่ทางร้านเต็มใจนำเสนอเพื่อต้อนรับการมาเยือนของเราคือ ข้าวกุ้งใหญ่ราดซอสมะขาม ข้าวกะเพราไก่ไข่ระเบิด เสิร์ฟพร้อมไข่ต้มยางมะตูมและซุปสาหร่าย ตามมาด้วย ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กซี่โครงราดแจ่ว รสชาติจี๊ดจ๊าดถึงใจ ตบท้ายด้วยเมนูของหวาน Nutella เนื้อเค้กนิ่ม หอมครีมนูเทลล่า รสชาติหวานมัน กลมกล่อมลงตัว แต่ถ้าใครไม่นิยมทานเค้กจะเปลี่ยนเป็น Snow Ice เย็น ๆ ราดหน้าด้วยผลไม้หวานฉ่ำเป็นเมนูตบท้ายก็ได้เช่นกัน
 
    ใครที่อยากมาชิมอาหารอร่อย ๆ พร้อมเสพงานศิลปะในบรรยากาศสบาย ๆ ก็สามารถแวะเวียนกันมาได้ที่ศูนย์การค้าลาวิลล่า พหลโยธิน ลงรถไฟฟ้าสถานีอารีย์ ร้านเปิดจันทร์-เสาร์ เวลา 11.00-21.00 น. หรือกริ๊งกร๊างสอบถามข้อมูลกันได้ก่อนที่ 0-2619-1894-5 แล้วอย่าลืมมาอิ่มหมีพีมันกันนะจ๊ะ




คิดบวก คิดสร้างสรรค์ กลยุทธ์พัฒนาคนทำงานยุคใหม่


          คำ ว่า creative ความคิดสร้างสรรค์ หรือ positive คิดบวก ในวงการฝึกอบรมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การผสมผสานสองแนวคิดเป็นเรื่องเดียวกันในหลักสูตรที่เรียกว่า “Cresitive Thinking” จะช่วยเติมพลังสร้างสรรค์ในบรรยากาศที่สนุกกับการทำงานมากขึ้น
          อาจารย์ รัศมี ธันยธร ผู้อำนวยการศูนย์ความคิดสร้างสรรค์ เจ้าของหลักสูตร “คิดบวก คิดสร้างสรรค์” หรือ Cresitive Thinking (creative+ positive) จบปริญญาโทด้าน Human Resource Development จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ผ่านการอบรมสัมมนาด้านความคิดสร้างสรรค์ทั้งที่อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และมอลต้า
          ปัจจุบัน เป็นวิทยากรฝึกอบรมผู้บริหารระดับสูงและบุคลากรองค์กรต่าง ๆ ประสบการณ์ที่ผ่านมามีโอกาสให้ความรู้บุคลากรในองค์กรชั้นนำ เช่น กลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป กสิกรไทย ปตท. ธนาคารกรุงไทย IBM P&G Colgate AIS Microsoft สหพัฒนพิบูล นิสสัน ดัชมิลล์

          อาจารย์ รัศมี ยกตัวอย่างให้เห็นภาพของคำว่า creative ด้วยการย้อนไปในระบบการศึกษาในโรงเรียน ซึ่งเห็นชัดว่าไม่ได้กระตุ้นให้นักเรียนคิดอย่างสร้างสรรค์ แต่เน้นด้าน Logical Thinking การค้นหาคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว เมื่อผู้เรียนชินกับวิธีการคิดแบบนี้ จะทำให้การหาทางออกเพื่อแก้ปัญหามีน้อย ตรงกันข้ามการหาคำตอบแนว creative ผู้เรียนสามารถตอบคำถามที่เปิดกว้างมากกว่าหนึ่งคำตอบ เช่น อะไรบวกลบกันได้ 8 เป็นต้น
          ในระบบความคิดแบบ logical ยังมีแนวโน้มให้ผู้เรียนใส่ใจกับจุดอ่อนภายในตัวมนุษย์ที่มีอยู่เพียง 5% เป็นความคิดลบที่ดูถูกตัวเอง เช่น มองสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นไปไม่ได้ หนทางไม่ราบเรียบ ตำหนิติเตียนในสิ่งที่ตัวเองเป็น  แทนที่จะให้ความสำคัญกับด้านบวกที่มนุษย์มีอยู่ 95%
          “ถ้า จะแก้ในสิ่งที่เคยเป็นมา ต้องคิดบวก (positive) ภูมิใจในตัวเอง และหาให้ได้ 95% ของเรามีอะไร หรือคิดสิ่งดี ๆ ที่ทำให้กับพ่อ แม่ เพื่อน สังคม เอาความเข้าท่ามามอง หมั่นคิด หมั่นแสดงออก หมั่นชื่นชมคน คิดทางบวก พูดทางบวก ซาบซึ้งกับสิ่งที่ผู้คนทำให้ เป็นการทำดีตอบแทนคนที่ทำดีกับเรา หรือทำอะไรผิดพลาดไปต้องขอโทษ”
          Cresitive Thinking หลักสูตรที่อาจารย์รัศมีคิดค้นขึ้นและเริ่มสอนเมื่อปี 2540 เน้นเรื่องการอยู่ร่วมกัน การปรับวัฒนธรรมองค์กรอย่างสร้างสรรค์ และการคิดบวก
          “คนที่ทำงานทีม เดียวกัน ถ้าได้เรียนแล้วการทำงานจะราบรื่น วิชา Team Building ไม่ใช่วิชา thinking การจัดวอล์คแรลลี่ ไปกันเถอะ ตอนไปซาบซึ้ง กลับมาเหมือนเดิม”
          ปัจจัย ที่มีส่วนปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ บรรยากาศในองค์กร เป็นบรรยากาศไม่เอื้อให้คนได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น เธอไม่ต้องคิด ฉันบอกเธอ เธอทำ ไม่มีวันไหนที่พนักงานจะบอกว่าทำอย่างไรกันดี หรือใครเสนอปุ๊บ มีคนอื่นไปตัดสินหรือวิจารณ์ บรรยากาศแบบนี้ ไม่มีโอกาสที่ใครจะคิดอะไร
          “ต้อง สร้างบรรยากาศสร้างสรรค์ ไม่ว่ากัน ไม่วิจารณ์ใคร ยอมรับในความคิดเห็น พยายามเข้าใจในความคิดของผู้อื่น ไม่เอาจุดด้อยมานั่งพูด คนส่วนใหญ่เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน เรื่องดี ๆ ไม่พูด เป็นกันหมดทุกประเทศบนโลก”

          ความ สุขในการทำงานจึงเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้คนมี satisfaction ความพึงพอใจในการทำงาน การทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน เป็นการลงทุนต่ำ ราคาถูก ได้ผลดีที่สุด ทำได้โดยฝึกให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ และอนุญาตให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน “แล้วคนจะปลื้มจะมีความสุข เวลาคิดอะไรใหม่ ๆ ได้ จะภาคภูมิใจ ถ้าเป็นแบบนั้นพนักงานมีความสุข”
          ส่วน ปัจจัยภายนอก ได้แก่ เงินทอง สวัสดิการ ชื่อเสียง เป็นตัวบอกว่าใครมีความคับข้องใจในการทำงาน  ถ้าปัจจัยภายนอกดี เช่น เงินดี แปลว่าไม่มีความคับข้อง แต่ไม่เกี่ยวกับความสุข
          ทำ งานได้เงินเยอะ จึงไม่ใช่คำตอบของความสุขในการทำงาน อาจารย์รัศมียกตัวอย่างประกอบว่า “เรามักจะได้ยิน อาชีพนักประพันธ์ไส้แห้ง แต่ยังเป็นกัน ทั้งที่เงินไม่มี แต่มีความสุขมากกว่าคนมีเงินเสียอีก”
          ผลดี ที่เกิดขึ้นกับองค์กรเมื่อพนักงานมีศักยภาพ ใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดความสุข ความเบิกบานในการทำงาน สิ่งที่ตามมาคือความจงรักภักดี และช่วยสร้างความเจริญให้องค์กร
          “ความ คิดสร้างสรรค์ในแง่ธุรกิจ คิดเพื่อแก้ปัญหา นำไปสร้างสรรค์หาวิธีใหม่ ๆ ในการทำงาน การบริการลูกค้า หรือคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ถ้าคิดดี บริษัทมีรายได้มากขึ้น เงินก็มาถึงพนักงาน”
          ภาย ใต้ความคิดบวกและคิดอย่างสรรค์ สองความคิดนี้เมื่อจับคู่ไปด้วยกัน ในฟากของ creative ทำให้คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ โดยมี positive โยงเข้ามุมบวกและคุณธรรม
“ถ้า ไม่ได้ฝึก positive จะคิดอะไรไม่ออกแล้วคิดว่าตัวเองคิดออก เพราะความคิดลบเป็นตัวบล็อกแล้วจะคิดแบบเดิม คิดว่าตัวเองเก่ง และมักพาไปในทางที่คิดว่าตัวเองฉลาดมาก แล้วไปตกหลุมพรางความฉลาด”

          คิดบวก-คิดสร้างสรรค์แบบผู้นำ          ในระดับผู้นำองค์กร อาจารย์รัศมีได้พูดถึงคุณสมบัติที่ผู้นำต้องมี เพื่อพาองค์กรเดินไปข้างหน้า ประกอบด้วย
          -การเป็นผู้นำที่คิดบวก มีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ได้ แล้วสามารถทำให้คนอื่นคิดได้ และสอนให้คนคิดบวกกับคิดสร้างสรรค์ได้
          -คิด ใหญ่ กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ใหญ่กว่าเดิม กล้าลงทุนพัฒนาคน แปลว่าเห็นความสำคัญของคน อย่าคิดว่าคนเป็นน็อต ไปเน้น Management Skill ไม่เน้น Human Skill มุ่งแต่บริหารตัวเลขให้ดูดี ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของคน ชอบลงทุนกับวัตถุ เช่น สำนักงานหรูหรา ดูดี
          -Self Confidence มีความมั่นใจในตัวเอง เห็นคุณค่า ภาคภูมิใจในตัวเอง ผู้นำที่เป็นแบบนี้จะเห็นคุณค่าของคนอื่น
          -ไม่ใช่แค่คิด แต่ผลักดันให้สำเร็จ สร้างสิ่งดีงามให้เกิดขึ้น มีความกล้าหรือมั่นใจที่จะผลักดันให้ลูกน้องหรือลูกทีม make it happen
          -ให้เกียรติคน พัฒนาตัวเองตลอดเวลา สำคัญมากคือเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นและสังคม

          พนักงานแบบไหนที่บริษัทอยากได้          ผลการวิจัยของอาจารย์รัศมีพบว่าถ้าอยากได้คนทำงาน คุณสมบัติ 5 ลักษณะที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการรับคน ประกอบด้วย
          -ต้อง เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ มีทุนมาบ้าง ถ้าเลือกได้ อยากให้มีคุณสมบัติเหล่านี้มาบ้าง ระหว่างเด็กที่มีทุนมา ช่วยคิดได้ เสนอความเห็นได้ กล้าแสดงความคิด คิดบวก มีทัศนคติที่ดี มีวิจารณญาณที่ดี มีอารมณ์ขัน จำเป็นมาก อารมณ์ขันเป็นน้ำมันของรถที่ชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์ ถ้าไม่มีอารมณ์ขัน เวลาคิดอะไรใหม่ ๆ ได้จะฝืด
          -ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบอาสาสมัคร กระตือรือร้น กระฉับกระเฉง ไม่เฉื่อย ปรับตัวเร็ว
          -ทำ งานเก่ง ให้บริการเก่ง ฟังเก่ง จับประเด็นได้ กล้าพูดต่อหน้าคน บุคลิกดูน่าเชื่อถือ อารมณ์ดี อัธยาศัยดี ใส่ใจคนอื่น สนใจคนรอบข้าง คุยกับคนแปลกหน้าได้ดี เข้าใจคนอื่น พูดได้ตรงใจคนฟัง หน้าตารับแขก มีลักษณะน่าเอ็นดู สำหรับผู้พบเห็น หรือคนรอบข้าง
          -สอนง่าย ไม่ดื้อ สนใจใฝ่รู้ ชอบพัฒนาตัวเอง ขยัน อดทน เข้มแข็ง ใจสู้ มีศีลห้า ศีลห้าเป็นตัวรับประกันว่าคนรอบข้างจะปลอดภัย
          -มุ่งมั่น ตั้งใจจริง ทำให้สำเร็จ

          HR กับการพัฒนาคนในองค์กร          HR พัฒนาขึ้นมาอีกระดับจาก Personal Management การบริหารงานบุคคล รับคน สัมภาษณ์ คัดเลือก ส่งต่อแผนกที่ต้องการคนและทำเรื่องเงินเดือน
          “การ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์เริ่มมา 20 กว่าปี มนุษย์สำคัญมาก คนที่ดูทางด้าน HR ต้องเป็นเหมือนที่ปรึกษา ไม่ใช่รับคนเข้ามาแล้วปล่อยไปอยู่กับหัวหน้า พอไปอยู่กับหัวหน้า ช้ำชอกใจก็เรื่องของเขา แต่ HR ดูทั้งภาพรวม ใครคล่องก็ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้คน HR ยังเปรียบเหมือนคนกลางระหว่างพนักงานกับผู้บริหารระดับสูง จะทำให้คนทำงานอย่างมีความสุขต้องสื่อให้ผู้บริหารฝ่ายนำเรื่องนี้ไปแทรก เพื่อเก็บรักษาพนักงาน”
          “ความรู้ เรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีความสำคัญ HR ต้องกล้าหาญบอกกับผู้ใหญ่ ขอส่งคนเข้าไปศึกษาหลักสูตรที่เปิดอบรม จะได้รู้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ และผู้บริหารระดับสูงมอบหมายมาว่าให้ HR หาคนไป การพัฒนาคนบ้านเราชอบไปลงทุนกับวัตถุ ไม่ว่าระดับประเทศหรืองค์กร มองคนเหมือนน็อต น็อตเยอะเอามาสร้างวัตถุ แต่นี่เป็นคน ยิ่งกว่าเพชร ไม่ใช่เหล็กธรรมดา คนเรามีค่ามากกว่าทีวีจอแบนที่ดูนานไปก็เสื่อม”



Creative Thinking Courses
          คิดบวก คิดสร้างสรรค์ (Cresitive Thinking)
          ปรับทัศนคติให้คิดทางบวก คิดสร้างสรรค์ มีพลังสร้างสรรค์ ทำงานแนวรุก เห็นว่าเป็นไปได้ กระตือรือร้น สนุกกับงาน บรรยากาศการทำงานคึกคัก ทำงานได้สำเร็จอย่างมีความสุข
          เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มนวัตกรรม (Lateral Thinking)
คิด สร้างสรรค์ได้ คิดนอกกรอบ คิดนวัตกรรม คิดแตกต่าง คิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่โดยไม่ต้องรอใครสั่ง คิดสร้างสรรค์แนวรุก คิดแก้ปัญหาได้เก่ง ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการใหม่ได้
          คิดนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพ (Simplicity)
          ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ง่ายขึ้น ดีขึ้น เร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มผลงาน ลดค่าใช้จ่าย เวลา และพลังงาน คิดนวัตกรรมในการทำงานได้
          คิดเป็นระบบ สื่อสารตรงประเด็น (Six Thinking Hats)
          คิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีคุณภาพ คิดแบบองค์รวมได้ คิดได้อย่างรอบคอบ ประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ ประชุมอย่างสร้างสรรค์ กระตือรือร้น คิดไปด้วยกันทีละด้าน ลดความขัดแย้ง
          คิดตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ (Six Value Medals)
          คิดตัดสินใจอย่างสร้างสรรค์ ตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ตัดสินใจจากการประเมินคุณค่าอย่างรอบด้าน ตัดสินใจอย่างรอบคอบ ตัดสินใจได้เหมาะสม กล้าตัดสินใจอย่างมีระบบ มีวิธีวิเคราะห์ผลกระทบได้รอบด้าน มีหลักในการขยายวิสัยทัศน์ให้กว้างไกลและมีมุมมองมากขึ้น
          ติดต่อ บริษัท ศูนย์ความคิดสร้างสรรค์ จำกัด โทร.0-2243-4824-7

http://www.ejobeasy.com/jobnewstudetailcarrer.php?n=100809100954


อาจารย์รัศมี ธันยธร
          -ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการศูนย์ความคิดสร้างสรรค์
          -อดีตเลขานุการผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
          -อดีตพนักงานด้านการฝึกอบรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และด้านเงินกู้ต่างประเทศ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
          -อดีตผู้จัดการงานฝึกอบรม บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย
ผลงานเขียน
          -หนังสือถูลู่ถูกังในอังกฤษ
          -The Power of Thinks คิดอย่างฉลาด
          -กวาดขยะความคิด ชีวิตก็ยิ้มได้



 

ดร.สมไทย วงษ์เจริญ เงินทองบนกองขยะ

“เรียนวิชาลองผิดลองถูก เลือดตาแทบกระเด็น ลองค้าขายทุกอย่าง เพราะไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน"


  
          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ดร.สมไทย วงษ์เจริญ เจ้าของอาณาจักรขยะ มีชีวิตวัยเรียนพิสดารกว่าเด็กในช่วงอายุเดียวกัน ฉีกกฎความรู้ในโรงเรียน มองไปไกลกว่าใคร “บุคคลที่ประสบความสำเร็จเป็นสุดยอดของโลกไม่ได้เรียนในห้องเรียน”
          บุคคลที่ดร.สมไทย กล่างถึงคือเจ้าชายสิทธัตถะ หรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อาศัยโคนต้นศรีมหาโพธิ์เป็นสถานที่บังเกิดความรู้ แง่คิดจากพุทธประวัติที่ศึกษา ทำให้ฉุกคิดว่าถ้าเปลี่ยนโรงเรียน เปลี่ยนวิชา เปลี่ยนครูอาจารย์ไปเรื่อย การเรียนรู้คงเป็นเหมือนดอกหญ้าแพรกที่แตกฉานบานสะพรั่งไม่รู้จบสิ้น 


          การตัดสินใจไปเร็วพร้อมความคิด เขาตัดสินใจเดินออกจากโรงเรียนตอนอายุ 14 ปี สมัยอยู่ม.ศ.3 หรือม.4 แทนที่จะมุ่งหน้าเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่น เพราะเชื่อว่าปริญญาไม่ได้การันตีว่าจะสอบผ่านวิชาชีวิต วิชาชีวิตจริงจึงเริ่มต้นด้วยงานค้าขาย
          “เรียนวิชาลองผิดลองถูก เหงื่อไหลเข้าตา เลือดตาแทบกระเด็น ลองค้าขายทุกอย่าง เพราะไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน อยากผันตัวเองเข้าสู่ชีวิตการขาย ขายหอม กระเทียม ยังขาดทุนเพราะฝ่อเหลือน้ำหนักน้อยลง ขายเสื้อผ้า แฟชั่นไปต้องเลหลัง ขายล็อตเตอรี่ หนังสือพิมพ์ ขายยา ทำทุกอย่าง”
          ลองผิดลองถูกกับงานที่ทำก็เกิดคำถามขึ้นในใจ “อยากหาเช้ากินค่ำไปตลอดชีวิตหรือไม่” เมื่อคำตอบคือ “ไม่” บทเรียนต่อไปจึงเริ่มขึ้นในวันที่เดินเข้าวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เมื่อมองไปที่องค์พระพุทธชินราช เห็นลำแสงพุ่งออกมาจากกึ่งกลางพระนลาฏ (หน้าผาก) จึงตั้งจิตอธิษฐานให้พบเส้นทางทำกินสว่างไสว
          ใครจะไปคิดว่าจุดเริ่มต้นของราชาขยะได้เริ่มขึ้นในวันนั้น เมื่อพบกับป้าสูงวัย ขนขยะใส่สามล้อ และคำตอบก็กระจ่างเมื่อป้าตอบคำถามของเขาที่ว่า “ป้าปรกติดีอยู่หรือเปล่า” ป้าบอกว่า “เอ็งนั่นล่ะไม่ปรกติ รู้หรือเปล่า ขยะในรถเข็นเป็นของมีค่า ขายได้ 200 บาท”

          มองเห็นลู่ทางดังนั้นจะรอช้าอยู่ใย ขับรถกระบะออกเก็บขยะตามป้าไปในวันนั้น และเริ่มอาชีพค้าของเก่าอย่างจริงจัง “เริ่มต้นจากสิ่งรอบตัวเถวนั้น ป้าเก็บได้ เราก็เก็บได้ คนมายืนดู ไม่เห็นต้องอายอะไร ไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร”
          เสียงร้อง “รับซื้อเศษเหล็ก รับซื้อของเก่า เหล็กน็อตเก่า เหล็กตะปูเก่า มีดหัก ขวานบิ่น หม้อรั่ว กาทะลุ ขวดขาว ขวดแดง ขวดเบียร์ ขวดแบน ขวดเหล้า ขวดเล็ก ๆ น้อย ๆ ขวดกระจ้อยร่อยกระจิริด ขวดนิด ๆ หน่อย ๆ ถ้วย ถัง กะละมัง หม้อ ใครมีต้องการแลก โบกมือทักกวักมือเรียกได้เลยจ้า บริการถึงบ้าน”
          ของเก่าแลกขนมบ้าง ไข่ไก่บ้าง มีรายได้วันละ 800-1,000 บาท หักค่าน้ำมันเหลือกำไรเที่ยวละ 400-500 บาท  ขณะที่ราคาทองคำตอนนั้นบาทละ 400 บาท แปลว่าเขาเก็บเศษทองข้างถนนได้ถึงวันละ 2 บาท หนึ่งปีจะได้นับร้อยบาท จึงเดินหน้าทำงานไม่มีวันหยุด ทำให้ฐานะการเงินเริ่มมั่นคงขึ้น
แต่การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อหมดความอดทนกับแป๊ะรับซื้อของเก่าที่หน้าเลือด ตะเพิดใส่เขาบ้าง
          “สักวันหนึ่ง ถ้าตั้งตัวได้ เราจะบริการลูกค้าทุกอย่าง ลูกค้าจะไม่ได้ยินเสียงเอ็ดตะโร” ดร.สมไทยเช่าบ้านเปิดร้านรับซื้อของเก่าด้วยความขยัน ไม่อายทำกิน กิจการดีขึ้น เริ่มซื้อที่ดิน ตั้งโรงงานคัดแยกขยะ “วงษ์พาณิชย์” 
เงินทองบนกองขยะ
          ปัญหาเมื่อขยายกิจการคือขาดบุคลากร คนส่วนมากมองงานคัดแยกขยะเป็นอาชีพไร้เกียรติ ดร.สมไทยพยายามสร้างทัศนคติขึ้นใหม่ว่า “นี่คือกองเงินกองทอง” ไม่ใช่คนบ้าค้าขยะ แต่เป็นเจ้าของเหมืองแร่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และคำว่า “ขยะทองคำ” ก็ได้ปรากฏในสังคมที่จะสร้างความมั่นใจว่า การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางสามารถสร้างรายได้อย่างงดงามและขยะไม่มีจริงใน โลก
          “ตอนเริ่มต้นหายากที่สุด ความหดหู่ของคนที่จะมาทำงานโรงงานขยะ เป็นเรื่องไม่สวยงาม เป็นเรื่องน่าสกปรก  เวลามาทำงานกลับบ้านใครถาม ตอบไม่ชัดว่ามาทำงานโรงงานขยะ ไม่เหมือนสมัยนี้มาทำงานกับบริษัทที่ออกสื่อไปกว่าร้อยรายการ เป็นความภาคภูมิใจ แต่กว่าจะถึงวันนี้ต้องต่อสู้ ฝ่าฟันกับการสร้างทัศนคติให้กับพนักงานในองค์กร การสร้างภาพลักษณ์ในองค์กรให้เกิดความตระหนัก  ประทับใจ ทราบซึ้งใจ ให้มีความรัก ความหวงแหนในวงษ์พาณิชย์”

          กติกาข้อแรกที่ทำความเข้าใจในวงษ์พาณิชย์ ห้ามใช้วาจาส่อเสียด ก้าวร้าว คุกคาม อิจฉาริษยา ว่ากันข้ามหัวไปข้ามหัวมา “การทำลายมิตรภาพในสังคม ทำลายความสามัคคี ยิ่งกว่าขโมยของ ให้ออกสถานเดียว ไม่มีต่อรอง  เราเชื่อว่าถ้าอยู่ด้วยกันถ้อยทีถ้อยอาศัย ด้วยการพึ่งพา จะเป็นสังคมที่มีความสามัคคีอย่างเหนียวแน่น เป็นสังคมที่วงษ์พาณิชย์พยายามสร้างขึ้นมา”
          “จะไล่พนักงานออกสักคนยากเย็นที่สุด ขโมยของในโรงงานยังไม่ให้ออกเลย เราต้องบอกเขาว่าเดือดร้อนอะไร ทุกข์ใจเรื่องอะไรถึงได้ทำแบบนี้ มีทางแก้ก็บอกเขาไป ต้องให้อภัย ไม่มีเลยที่พนักงานทุจริต ลักทรัพย์ แล้วจับติดคุกติดตาราง เราไม่รู้หรอกว่าครอบครัวเขาที่บ้านล่ะ ลูกตาดำ ๆ ที่บ้าน พ่อเขาต้องติดคุกเพราะฝีมือของเรา  สุดท้ายต้องอภัย คุยกัน สอนให้คนดีเป็นคนดี สอนคนเก่งเป็นคนเก่ง เป็นเรื่องง่าย แต่สอนให้คนไม่เก่งมีความเก่ง สอนให้คนไม่ดีเป็นคนดีได้ นี่คืองานท้าทายของเรา สอนคนพิการให้เป็นคนปรกติ คนที่เคยต้องโทษต้องคดีให้ฟื้นความจำกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้ นี่คือสิ่งที่อยากทำมากที่สุด”
         
          ดร.สมไทย ในวัยเด็กหยุดเรียนเพื่อค้นหาความจริงของชีวิต แต่ไม่คิดทิ้งการเรียน ทำงานไปเรียนไปจนจบศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน และเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย
          ทำจริง เหนื่อยจริงจนประสบความสำเร็จได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา UNDP ประจำประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาว ด้านการจัดการขยะรีไซเคิล และสิ่งแวดล้อม ณ สำนักงาน UNDP นครเวียงจันทร์ เมื่อปี 2546
ตำแหน่งทางสังคมในประเทศ ไทย ได้รับภารกิจสำคัญหลายงาน เช่น ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา คณะกรรมการตัดสินโครงการธนาคารวัสดุรีไซเคิลเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
          นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลเกียรติคุณจำนวนมาก อาทิ พลเมืองไทยที่ทรงคุณค่าสาขาสิ่งแวดล้อม ผู้มีส่วนสำคัญและใส่ใจปัญหาขยะล้นโลกจาก จากสถาบันพัฒนาสี่แยกอินโดจีน  รางวัล Yonok Northern Management Awards (YNMA) ประเภทธุรกิจการค้าขนาดย่อม ด้านนวัตกรรมดีเด่น ประกาศเกียรติคุณ “สุดยอดนักสิ่งแวดล้อม”  และบุคคลดีเด่นด้าน “องค์กรดีเด่น” 


          เครือข่ายแฟรนไชส์ 584 สาขา
          ดร.สมไทย ใช้ความรู้ที่มีสร้างโอกาสให้คนอื่นเป็นเครือข่ายแฟรนไชส์ “วงษ์พาณิชย์” ไม่มีค่าแรกเข้า หรือค่ารอยัลตีฟี เน้นเรื่องเดียวต้องทำงานบนพื้นฐานความถูกต้องเป็นธรรม
          “คนมาอบรมมีตั้งแต่มือเปล่า หนี้สินล้นพ้นตัว ฆ่าตัวตาย อบรมกลับไปประสบความสำเร็จไหม ผมไม่อยากใช้คำว่าประสบความสำเร็จ เพราะหมายถึงสิ้นสุดแล้ว ผมอยากบอกว่าเขามีกินทั้งครอบครัวทั้งลูกหลานเหลน เป็นวิชาอมตะใช้ได้ตลอดชีวิต  ตราบใดที่คนต้องบริโภคแล้วต้องทิ้งขยะ”
          หลักการที่ดร.สมไทยใช้คือหลักการค้า ไม่ใช่หลักการวางแผนธุรกิจ เพราะมั่นใจว่าวิชาการถ้ารู้จักบวกวิชากิน จะตกผลึกเป็นพลังบวกที่โลกจำกัดความคิดของเราไม่ได้
          “วงษ์พาณิชย์เปิดสอนวิชาชีพมา 11 ปีเต็ม สอนลูกศิษย์ 6,000 กว่าคน ทำมาหากินทั่วประเทศ ให้ความรู้กับคน และผู้ป่วยเอดส์ ทำให้มีความหวังว่าถ้าพึ่งตนเองได้ด้วยสองมือ สองแขน สองขา เขาไม่กลัวอะไรแล้ว พลังในใจที่หลั่งสารออกมาต่อสู้เป็นพลังที่สำคัญที่สุด ทั้งคนป่วย เร่ร่อน ผมให้ทุกอย่างเพื่อให้เขาไปต่อ”

          คิดแล้วกล้าทำเพื่อความสำเร็จ          อุปสรรคของความสำเร็จคือความกลัว ความไม่กล้าหาญ ดร.สมไทยชี้หนทางแห่งความสำเร็จ เมื่อเริ่มคิดแล้วต้องมองให้เห็น มองอย่างผู้มีวิสัยทัศน์ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะเผชิญหน้า และกล้าที่จะทำทันที



          “ต้องรู้จักเริ่ม ผิดไม่เป็นไร แก้ไขได้ บางคนต้องผิดถึงร้อยครั้ง เพื่อหาหนทางที่ถูกหนึ่งครั้ง หลายครั้งที่ผมผิดพลาดพันครั้งเพื่อถูกหนึ่งครั้ง เป็นวิชาลองผิดลองถูก บางครั้งต้องตกเหวบ้าง จมน้ำบ้าง ขึ้นมาอยู่บนถ้ำบ้าง ล้มลุกคลุกคลาน เลือดไหลเข้าตาบ้าง ต้องสู้แบบนี้ถึงเป็นชีวิตจริง”
          ทุกวันนี้ดร.สมไทย ยังมุ่งมั่นทำงาน เพราะคิดว่าการทำงานคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด เขาบอกว่าไม่ทำงานจะป่วยตาย “ผมเกิดปีม้า วิ่งตลอดเวลา ถ้าหยุดวิ่งเมื่อไหร่อาจป่วยก็ได้”

          เรื่องราวของราชาขยะมีอีกหลายมุมน่าสนใจ หาอ่านได้จากหนังสือ “สัมผัสทองของราชาขยะ” เล่าชีวประวัติตั้งแต่เล็กจนเป็นราชาขยะ ที่มาของโลโก้วงษ์พาณิชย์ แนวคิดการทำธุรกิจ วิธีแยกขยะ การเดินทางเพื่อเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด มุมมองการแก้วิกฤตขยะโลก
          “เป็นภาคพิสดารที่สามารถทำให้คนอ่านแหวกวงล้อมพันธนาการน้ำเน่าของชีวิต เรื่องราวของลูกนอกคอกหรือเด็กนอกคอกตอนที่ผมถูกอาจารย์ใหญ่ตีหน้าเสาธง ผมเป็นคนนอกลู่นอกทาง ชอบพูดชอบเถียง แต่เถียงแบบมีเหตุผล ไม่ใช่แบบเด็กดื้อ”
          “การเป็นเด็กนอกคอกผิดตรงไหน คอกมีไว้สำหรับใส่หมู หมา กา ไก่ เราเป็นมนุษย์ จะอยู่ในคอกได้อย่างไร คอกไม่เพียงพอให้ผมอยู่ได้ ผมถูกตีเป็นประจำ เพราะไม่ชอบเรียนในห้องเรียน ออกไปนอกประตูบ้าง ครูพูดซ้ำไปซ้ำมาก็เดินออกไปอีก กลับมายังพูดเรื่องเก่า ไม่รู้จะมาเรียนไปทำไม  ทำไมต้องเรียนเหมือน ๆ กัน ทำอะไรซ้ำกัน การแข่งขันก็สูง กำไรน้อย ทุกวันนี้ทำอะไรแข่งขันกันเฉือนเนื้อตัวเอง สู้กันในสนามรบ การทำมาหากินกลายเป็นสีเลือดแดงไปหมดแล้ว ทำไมไม่ออกสู่สนามใหญ่ เช่น ก้าวไปสู่ทะเล หรือมหาสมุทร ที่เรียกว่าบลูโอเชียน ซึ่งยิ่งใหญ่มาก และไร้พรมแดน”
          ถ้ามีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ หรือได้พูดคุย หรือได้เข้าอบรมกับดร.สมไทย จะรู้ว่าประสบการณ์ที่ตกผลึกสำหรับคนคิดนอกกรอบเป็นเช่นไร
 

http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100816105119

สัมภาษณ์อย่างไร ให้ได้งานทำ

เมื่อ จบขั้นตอนการส่งใบสมัครแล้ว ทางบริษัทก็จะเรียกคุณเข้าสัมภาษณ์งาน เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงตื่นเต้นกับขั้นตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะเจอผู้สัมภาษณ์แบบใด คำถามแบบไหน จะตอบถูกใจไหม เขาจะรับเราเข้าทำงานหรือเปล่า

  

    เมื่อจบขั้นตอนการส่งใบสมัครแล้ว ทางบริษัทก็จะเรียกคุณเข้าสัมภาษณ์งาน เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงตื่นเต้นกับขั้นตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะเจอผู้สัมภาษณ์แบบใด คำถามแบบไหน จะตอบถูกใจไหม เขาจะรับเราเข้าทำงานหรือเปล่า
    คำถามเหล่านี้คงอยู่ในความคิดของหลาย ๆ คน เพื่อให้ชาวแฟนคลับคอลัมน์ของผมได้เตรียมตัวกับคำถามสุดหินและได้เป็นผู้ สมัครขั้นเทพ ผมจึงนำเทคนิคการสัมภาษณ์มาให้อ่านกันครับ
คำถามยอดฮิตมีดังนี้
    1.ลองเล่าเกี่ยวกับตัวคุณมาสักหน่อย (Tell me about yourself)?
    2.จุดแข็งและจุดด้อยของคุณ (Your strength/weakness)?
    3.ทำไมคุณถึงสนใจงานนี้ (Why are you interested in working with us)?
    4.ทำไมคุณถึงสมัครงานในตำแหน่งนี้ (Why do you apply in this position)?
    5.คุณคิดว่าจะให้อะไรกับบริษัทนี้ได้บ้าง (What can you contribute to the company)?
    (คำถามมีมากกว่านี้ แต่ในฉบับนี้ขอยกมาเพียง 5 คำถาม)
    หลักในการตอบคำถามสัมภาษณ์ ควรตอบให้ตรงประเด็น กระชับ ได้ใจความ มีความคิดสร้างสรรค์รวมถึงยกตัวอย่างเพื่อให้คำตอบชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญข้อมูลต้องถูกต้องและเป็นความจริง
    ซึ่งโดยทั่วไปการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่จะใช้เวลาตั้งแต่ 20 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และตำแหน่งงานของผู้สมัคร นอกจากการเตรียมตัวตอบคำถาม ควรให้ความสำคัญเรื่องการแต่งกายและความตรงต่อเวลาด้วย
    วิธีการตอบคำถามมีดังนี้
    1.ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟัง
    สิ่งที่ควรทำ คือ ใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีสั้น ๆ แบบกระชับได้ใจความ บอกเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเป็นผู้สมัครที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ รวมถึงยกตัวอย่างให้ฟังเพื่อช่วยอธิบายและเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเรา เช่น "หลังจากเรียนจบด้านบัญชีและทำงานที่บริษัทตรวจสอบบัญชีมา 5 ปี ทำให้เป็นคนทำงานเร็วและละเอียดรอบคอบ เพราะการตรวจสอบบัญชีแต่ละครั้งมีระยะเวลากำหนดชัดเจนว่ากี่วันหรือกี่ สัปดาห์
    ทั้งยังฝึกความเป็นผู้นำ เพราะต้องดูแลน้องในทีมที่ออกตรวจงานด้วยกัน รวมถึงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี สิ่งเหล่านี้ทำให้ดิฉันได้รับมอบหมายดูแลงานโปรเจกต์ใหญ่ ๆ อยู่เสมอ"
     สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การเล่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ตั้งแต่จบประถม มัธยม เข้ามหาวิทยาลัย จนทำงาน แต่ไม่มีจุดเด่นอะไรเพียงพอที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกสนใจในตัวคุณ
    2.ทำไมคุณถึงคิดว่าเหมาะกับงานนี้
     สิ่งที่ควรทำ คือ โอกาสมาถึงแล้ว อย่ากลัวที่จะพูด อาจจะเริ่มจากประสบการณ์และความสามารถที่เคยผ่านมา อันเป็นสาเหตุทำให้คุณเหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ แล้วต่อด้วยเหตุผล ตัวอย่าง กรณีศึกษา สิ่งที่เป็นจุดเด่นและแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น
    กรณีที่เพิ่งจบการศึกษาหมาด ๆ ถ้าสมัยเรียนทำกิจกรรมมาเยอะ เช่น ออกค่าย ฝึกงาน โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ฯลฯ อย่าลังเลที่จะบอกเล่าว่ากิจกรรมเหล่านั้นทำให้ตัวเองเป็นคนที่เข้ากับคน อื่นง่าย รู้จักปรับตัว ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น และเรียนรู้เร็ว เป็นต้น
    หากตกที่นั่งเด็กเรียน ไม่ค่อยสนใจกิจกรรม ให้ตอบว่าเป็นคนที่ทุ่มเทกับเรื่องที่ได้รับผิดชอบ เช่น เรื่องเรียนหรือรายงานกลุ่ม อาจยกเกรดเฉลี่ยเลขสวย ๆ มาเป็นตัวอย่าง หรือวิธีการเลือกวิชาเรียน ที่แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมตัว วางแผนการเรียนมาเป็นอย่างดี
       สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การตอบคำถามสั้น ๆ เช่น "ด้วยประสบการณ์ทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าสามารถทำงานนี้ได้" แล้วจบทันที ในกรณีนี้ คุณอาจจบเห่ เพราะไม่มีเหตุผลและตัวอย่างที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์เชื่อและมั่นใจในตัวคุณ
    3.ตามความเข้าใจของคุณ คิดว่าตำแหน่งนี้ต้องรับผิดชอบงานอะไรบ้าง
    สิ่งที่ควรทำ คือ ทำการบ้านก่อนมาสัมภาษณ์ด้วยการอ่านรายละเอียดของงานและคุณสมบัติของผู้ สมัครที่ทางบริษัทต้องการ ทำความเข้าใจกับมัน ตอบให้สั้นและกระชับใจความ
    สิ่งสำคัญก่อนตอบต้องมั่นใจว่าเข้าใจ ถ้าไม่แน่ใจส่วนไหนไม่ต้องกลัวที่จะถาม อาจตั้งคำถามกลับในทำนองว่า เข้าใจตำแหน่งงาน แต่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูลกลุ่มลูกค้าและผลิตภัณฑ์มากนัก อยากให้ช่วยอธิบายให้เข้าใจในเบื้องต้น
    สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ ถ้าไม่รู้อย่าพยายามตอบ เพราะถ้าตอบผิด นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้ทำการบ้านมา ไม่ได้ให้ความสนใจกับงานนี้ แถมยังมั่วอีกต่างหาก
    4.คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง
     สิ่งที่ควรทำ คือ ก่อนมาสัมภาษณ์งาน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทราบและเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับองค์กรที่สมัคร เช่น ผลิตภัณฑ์ กลุ่มลูกค้า คู่แข่ง ภาพลักษณ์องค์กร ที่มาและประวัติขององค์กร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คุณได้ทำการบ้านมา และให้ความสนใจกับองค์กรอย่างแท้จริง
    อย่าลืมย้ำตอนท้ายด้วยว่า หลังจากที่ศึกษาเกี่ยวกับองค์กร ทำให้เรามีความสนใจที่อยากจะทราบเกี่ยวกับองค์กรเพิ่มเติม
     สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การตอบแบบมั่นใจในตัวเองจนเกินไป หรือคำตอบที่สร้างภาพพจน์ไม่ดีให้กับตัวเอง เช่น "ทราบมาว่าที่นี่กำลังขาดผู้จัดการฝ่ายการตลาด ด้วยประสบการณ์งาน 3 ปีในด้านนี้ ทำให้คิดว่าสามารถแก้ปัญหานี้ได้" คำตอบอย่างนี้นอกจากไม่สร้างทัศนคติที่ดีขององค์กรให้กับตัวเองแล้ว ยังเป็นการโอ้อวดตัวเองเกินไป
    5.อะไรคือจุดมุ่งหมายระยะยาวในการทำงานของคุณ
     สิ่งที่ควรทำ คือ พูดถึงสิ่งที่อยากทำในอนาคต และต้องบอกวิธีที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ซึ่งควรจะเกี่ยวข้องกับงานที่สัมภาษณ์อยู่ เช่น อีก 5 ปีข้างหน้าอยากเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่เต็มไปด้วยศักยภาพและความสามารถ ในการพัฒนาพนักงานและองค์กรให้มีประสิทธิภาพ
    การที่จะถึงจุดนั้นได้ต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี เช่น การได้มีโอกาสทำงานที่บริษัทนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งในการเตรียมตัวสำหรับอนาคต และอาจเพิ่มเติมตัวอย่าง เช่น วิธีการทำงานของตน เป็นต้น
       สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การตอบในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัครอยู่ (ถึงแม้จะเป็นความจริง) เพราะไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เช่น อยากเปิดร้านอาหารในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าตอบเช่นนั้น อาจโดนถามต่อว่าแล้วมาสมัครงานที่นี่ทำไม
    จะเห็นได้ว่า คำถามสั้น ๆ แต่ละคำถามนั้น สามารถบ่งบอกถึงตัวตนของคุณและความกระตือรือร้นที่จะทำงาน ซึ่งคำถามเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สมัครงานทุกคน ผมหวังว่าแนวทางการตอบคำถามข้างต้นจะช่วยให้ทุกท่านเป็นนักตอบคำถามการ สัมภาษณ์งานที่ดีได้นะครับ
   

    คำถาม...ที่มักพบในการสัมภาษณ์งาน   

พูดถึงเทคนิคการสัมภาษณ์งานกันแล้ว ตอนนี้ มาถึง คำถาม ที่คุณจะพบบ่อย ๆ ในการสัมภาษณ์งานกันบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับทุกคน

    -ถ้าได้งานนี้ คุณคิดว่าจะทำงานที่นี่นานเท่าไหร่
    -อะไรคือจุดอ่อนของคุณ
    -ทำไมคุณถึงลาออกจากงานเก่า
    -อะไรคือสิ่งที่คุณชอบและไม่ชอบในงานเก่า (หรืองานที่กำลังทำอยู่)
    -อะไรคือสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต
    คำถามที่เหลือนี้สังเกตได้ว่า มักจะเป็นคำถามที่ถามโดยมีจุดประสงค์ เพื่อจะพิจารณาว่าคุณจะสามารถทำประโยชน์ให้กับบริษัทได้หรือไม่ คุ้มไหมที่จะจ้างคุณให้เข้าทำงานในอัตราค่าจ้างตามที่คุณร้องขอ
    ซึ่งคุณก็ไม่ต้องตกใจไปนะครับ เพราะหากคุณมั่นใจว่า คุณเข้ามาสัมภาษณ์งานที่ที่คุณต้องการอยากเข้าทำงานนั้นจริง ๆ ไม่ใช่เพราะว่า เห็นว่างอยู่เลยเข้ามาสัมภาษณ์ไปงั้น ๆ คำตอบของคุณจะมาจากความมั่นใจที่คุณอยากเข้าทำงานนั้น และคำตอบของคุณจะโดนใจคณะกรรมการแน่นอนครับ
    อย่างไรก็ตาม  ผมขอเสนอแนะแนวทางคำตอบให้กับคุณสักหน่อย เผื่อว่าความมั่นใจของคุณจะบวกกับความมีเหตุมีผลที่ผมเสนอไป จะทำให้การให้สัมภาษณ์ของคุณราบรื่นมากขึ้นครับ เอาละ.. มาดูวิธีการกันครับ
    ถ้าได้งานนี้ คุณคิดว่าจะทำงานที่นี่นานเท่าไหร่
    สิ่งที่ควรทำ คือ ให้มุ่งประเด็นไปที่ความทุ่มเทของตัวเองและความท้าทายของงาน ด้วยการบอกว่าตราบใดที่งานมีความยากและท้าทาย ก็จะขอจะทุ่มเทความสามารถของตัวเองให้เต็มที่เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้กับ องค์กร
    สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ บอกแผนการหรือระยะเวลา (ซึ่งเป็นความจริง) เช่น มีแผนไปเรียนต่ออีก 2-3 ปีข้างหน้า หรือทางบ้านมีแผนให้ไปช่วยธุรกิจที่บ้าน
    อะไรคือจุดอ่อนของคุณ
    สิ่งที่ควรทำ คือ ควรเลือกจุดอ่อนที่เป็นความจริงและกำลังปรับปรุงหรือพัฒนาในขณะนี้ ที่สำคัญควรบอกผลลัพธ์หลังการปรับปรุงด้วย เช่น ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ซึ่งตอนนี้กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ เรียนมานานเท่าไหร่ ที่ไหน และผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
   สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ มีหลายคนเคยบอกว่าให้เปลี่ยนจุดแข็งให้เป็นจุดอ่อน เช่น เป็นคนทำงานหนักมาก ๆ ไม่เสร็จไม่กลับ อาจจะฟังดูดี แต่คุณกำลังทำลายตัวเอง เพราะปัจจุบันนี้การรู้จักจัดสรรเวลา (work life balance) เป็นประเด็นสำคัญของคุณภาพชีวิต อีกอย่างคุณกำลังโกหกเพื่อให้ดูดี แถมตอบผิดประเด็นอีกต่างหาก
    ทำไมคุณถึงลาออกจากงานเก่า
    สิ่งที่ควรทำ คือ ตอบความจริงให้มากที่สุด แต่สั้นกระชับใจความ ไม่จำเป็นต้องตอบทั้งหมดถ้าความจริงมันเลวร้ายเหลือเกิน อย่าลืมว่าผู้สัมภาษณ์อาจขออนุญาตติดต่อบุคคลอ้างอิงเพื่อทำการตรวจสอบ ข้อมูลเหล่านั้น
    สิ่งที่ไม่ควร คือ ควรหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ที่ทำงานและนายเก่า เพราะเหล่านี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของคุณดูแย่ และนั่นหมายถึงความกล้าที่จะวิจารณ์บริษัทต่อ ๆ ไปที่คุณร่วมงานด้วย
    อะไรคือสิ่งที่คุณชอบและไม่ชอบในงานเก่า (หรืองานที่กำลังทำอยู่)
    สิ่งที่ควรทำ คือ ควรบอกสิ่งที่ชอบมากกว่าสิ่งที่ไม่ชอบ และให้คำอธิบายรวมถึงเหตุผลว่าทำไมเราจึงคิด
    สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ บอกในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานหรืออ้างอิงถึงบุคคล เพราะนั่นหมายถึงคุณกำลังวิจารณ์คนอื่น ไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่างที่แย่ ๆ เกี่ยวกับงาน เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา
    อะไรคือสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต
    สิ่งที่ควรทำ  คือ ควรจะเป็นเรื่องที่รู้สึกภูมิใจที่สุดในช่วง 1-2 ปีของการทำงาน คุณอาจพูดถึงการเลื่อนขั้น ปรับตำแหน่งในการทำงาน หรือตลอดระยะเวลาที่ทำงานมามีแต่ความราบรื่นไม่เคยมีปัญหากับลูกค้า
    หากคุณมีความสำเร็จชัดเจน เช่น สามารถทำยอดการขายได้ทะลุเป้า 200% หรือสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 25% ให้เล่าที่มาของเรื่องนั้น วิธี แนวดำเนินการ ผลลัพธ์ ตลอดจนอุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมถึงวิธีการแก้ปัญหา ถ้าเป็นผู้สมัครที่เพิ่งจบการศึกษาหมาด ๆ อาจจะพูดถึงเกรดเฉลี่ย หรือความภาคภูมิใจที่สามารถสอบเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงได้
     สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การแต่งเรื่องขึ้นเองหรือพูดเกินจริงกว่าสิ่งที่ได้ทำ ส่งผลให้วิธีการเล่าแตกต่างไป ซึ่งผู้สัมภาษณ์ที่มีความเชี่ยวชาญ จะสามารถตั้งคำถามต้อนจนจับได้ว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
    จบเพียงเท่านี้นะครับ สำหรับคำถามที่มักจะพบบ่อยในการสัมภาษณ์งาน ซึ่งในแต่ละที่อาจมีคำถามนอกเหนือจากคำถามที่ผมยกตัวอย่างมา แต่ผมก็เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านจะสามารถตอบคำถามได้อย่างราบรื่น เพราะได้รับแนวคิดในการตอบคำถามไปบ้างแล้วนะครับ
    หากใครได้งานแล้วและได้ใช้เทคนิคที่ผมได้แนะนำไป ก็เขียนจดหมายหรือส่งเมล์ติชมคอลัมน์ของผมได้นะครับ ผมยินดีรับทุกคำแนะนำ สำหรับฉบับนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามคอลัมน์ของผม สวัสดีครับ
http://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=100817101426

เปิ้ล-นาคร ศิลาชัย เปิดสาขา 2 โคขุน คุณทอง โพนยางคำ

“ไม่ ใช่แค่วิธีการกินที่ต้องพิถีพิถัน แต่ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่การผลิต” สโลแกนที่ฟังดูเท่เหลือเกินเมื่อเราได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณเปิ้ล-นาคร ศิลาชัย พิธีกรอารมณ์ดีที่ชี้ชวนให้เราแวะเวียนไปเยี่ยมชมและเยี่ยมชิม โคขุน คุณทอง โพนยางคำ สาขา 2 ร้านอาห


  

เปิ้ล-นาคร ศิลาชัย
          บน ทำเลทอง รัชดาซอย 4 ที่คุณเปิ้ลให้เป็นที่ตั้งของร้าน บรรยากาศร้านตกแต่งสไตล์โมเดิร์นที่เน้นความโปร่ง โล่งสบาย ในแบบมินิมอล ลิสต์ ดึงเอาความเป็นกันเองของสิ่งแวดล้อมด้านนอกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร้าน เน้นความเป็นกันเองแบบอาหารอีสานที่สนุกสนานและผ่อนคลาย วัสดุต่าง ๆ ที่นำมาตกแต่งเน้นเป็นงานไม้ ที่ให้อารมณ์ความอบอุ่น ผ่อนคลาย และเข้าถึงง่าย  

          เมนูที่ทางร้านนำมาสร้างความปั่นป่วนให้น้ำย่อยของเรา เป็นเมนูอาหารอีสานรสแซบ อาทิ ส้มตำคอหมูย่าง ปลาเผา ไก่ย่าง คอหมูย่าง ฯลฯ โดดเด่นที่สุดก็เป็นเมนูเนื้อโพนยางคำ มีทั้งแบบกระทะร้อน แบบย่างเองตามสไตล์แบบจิ้มจุ่มในร้านอาหารอีสาน และเนื้อที่นำมาให้ลิ้มลองก็จะนุ่ม หวาน หอม จากการคัดสรรเนื้อคุณภาพ ย่างกับเนยหอมกรุ่น เข้าไปในปากก็ละลายประหนึ่งดังโยเกิร์ต ซึ่งทั้งหมดเกิดจากกรรมวิธีพิเศษที่คุณทองเป็นเจ้าของสูตร
          คุณภาพของเนื้อในส่วนต่าง ๆ ที่คัดมาก็จะมีคาแรคเตอร์ที่ไม่ซ้ำแบบกัน จะให้อารมณ์การกินที่แตกต่างกัน ใครที่ชอบเนื้อไม่มีมันแนะนำเนื้อสันในเป็นเนื้อล้วน ๆ ชอบมันแทรกนิดหน่อยก็จะเป็นใบพาย หรือใครที่ชอบเหนียวนิด ๆ กรอบหน่อย ๆ ก็จะเป็นเนื้อหนอกที่มีมันแทรกมากับเนื้อด้วย เรียกได้ว่างานนี้คุณเปิ้ลขนเอาเนื้อคุณภาพดีมาเอาใจคนรักเนื้อกันเลยที เดียว


          ใครที่ต้องการแวะชิมก็สามารถแวะเวียนกันมาได้ที่ ร้านโคขุน คุณทอง โพนยางคำ สาขา 2 ติดถนนรัชดาซอย 4 เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป